วิศวะ จุฬาฯ ผนึก กฟผ. ถอดบทเรียนไฟดับยุโรป เร่งวางแผนรับมือพลังงานสะอาด

วิศวะจุฬาฯ ผนึกสถาบันวิจัยพลังงาน และกฟผ. ถอดบทเรียนไฟดับครั้งใหญ่ในยุโรป เตือนไทยรับมือพลังงานหมุนเวียนผันผวน พร้อมเสนอแนวทางพัฒนาระบบไฟฟ้าสมดุล มุ่งสู่ Net Zero อย่างยั่งยืน
คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดเสวนา "ไฟดับครั้งใหญ่ในยุโรป : บทเรียนจากสเปน - โปรตุเกส 2025 และแนวทางรับมือและออกแบบระบบพลังงานอย่างสมดุล"
นายธวัชชัย สำราญวาณิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ไฟดับที่ยุโรปถือเป็นบทเรียนทั่วโลกที่มุ่งสู่การปรับเปลี่ยนพลังงานจากฟอสซิลมาสู่พลังงานหมุนเวียน ซึ่งที่เป็นหัวข้อสำคัญคือ พลังงานแสงอาทิตย์กับพลังงานลม ซึ่งทั้ง 2 ส่วนโดยธรรมชาติไม่สามารถควบคุมได้ แต่ต้องหาวิธีรับมือ ซึ่งทิศทางทั่วโลกมุ่งสู่พลังงานสะอาด หากดูบริบทยุโรปแล้ว สเปนมีสัดส่วนถึง 70% ที่เป็นโซลาร์ และลม
ดังนั้นสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 10% ของไทย หากเทียบยุโรปนั้น ไทยจะเกิดข้อผิดพลาดน้อยมาก ซึ่ง 3 การไฟฟ้าได้หารือร่วมกัน และให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของระบบสำคัญที่ไม่อยากให้เกิดไฟฟ้าดับ พร้อมหาแนวทางป้องกันให้เร็วที่สุด ซึ่งสเปนใช้เวลา 19-24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวงพลังงาน ได้เน้นย้ำกับการไฟฟ้าให้มีการซ้อมแผนฉุกเฉินตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม การที่ไทยจะมุ่งสู่การเปลี่ยนไปสู่พลังงานสีเขียว กฟผ. ต้องมองทิศทางและแนวทางการบริหารจัดการ เมื่อมาดูพลังงานหมุนเวียนแสงอาทิตย์ และลมจะมีผลกระทบการเปลี่ยนแปลงจากการใช้ไฟปกติ จากปี 2561 เป็นต้นมา พบว่า การใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก) เกิดขึ้นในเวลากลางคืน จากการติดตั้งโซลาร์ใช้เองที่บ้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่สนับสนุนการใช้โซลาร์
"หากวิเคราะห์บทบาทพลังงานหมุนเวียน เมื่อเข้ามาในระบบแล้วจะมีผลต่อระบบ โดยโรงไฟฟ้าหลักจะผลิตน้อยลง รวมถึงดีมานด์ระบบก็ต้องการน้อยด้วย ยกตัวอย่างวันที่ 31 ธ.ค.2567 สัดส่วนพลังงานหมุนเวียนที่มาจากโซลาร์ และลมอยู่ที่ 18% ถือเป็นส่วนเทียบเคียงยุโรปยังห่าง อีกทั้งบริบทแต่ละประเทศต่างกัน"
ดังนั้น ในส่วนของระบบสายส่งจะต้องดูเรื่องของ N-1 เมื่อมีเหตุขัดข้องส่วนที่เหลือต้องรองรับได้ โดย กฟผ. ได้พัฒนาโครงข่ายสายส่งหลัก 500 กิโลโวลต์ ให้ครอบคลุมทุกภาค เพื่อให้ครอบคลุมทุกภาค ซึ่งมีการวางแผนเชื่อมโยงสายส่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไปภาคเหนือ ภาคกลางได้ เพื่อดึงไฟมาช่วยเสริม อีกทั้ง กฟผ. มีการมอนิเตอร์ และปรับปรุงระบบให้รองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ปรับเปลี่ยนไป
อย่างไรก็ตาม หากดูผลกระทบจากพลังงานหมุนเวียนที่ยังน้อย เช่น ไม่เกิน 10% จะไม่กระทบระบบเลย แต่เมื่อสัดส่วนเพิ่มขึ้น กฟผ. ต้องพัฒนาระบบรองรับให้สอดคล้องกับสิ่งที่จะเข้ามา โดย กฟผ. มองเหตุการณ์ที่เกิดในสเปนอาจมีเครื่องมือไม่พร้อมในการบริหารจัดการหรือเทคโนโลยี เช่น กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองไว้จ่าย ซึ่งไทยออกแบบไว้ว่า จะต้องมีสำรองไฟไม่น้อยกว่า 800 เมกะวัตต์ และมีกำลังผลิตไม่น้อยกว่า 5 นาทีที่ 750 เมกะวัตต์ รวมถึงระบบค่าพร้อมจ่าย (AP) ที่สามารถสั่งโรงไฟฟ้าให้จ่ายไฟเพื่อป้องกันไฟดับในมุมกว้าง
"หากอนาคตพลังงานจะมีความผันผวน เรายังมีโรงไฟฟ้าพลังงานแบบสูบกลับ และระบบแบตเตอรี่ กฟผ. จึงต้องพัฒนาเทคโนโลยี และอุปกรณ์ที่ดีเพื่อดูแลระบบไฟฟ้าให้ปลอดภัย และสามารถจ่ายไฟได้ตลอดเวลา"
ดังนั้น ภารกิจหลักของ กฟผ. คือ ดูแลความมั่นคงด้านพลังงาน จะเห็นว่าเหตุที่เกิดในยุโรปเป็นหนึ่งเหตุการณ์ที่เอามาถอดบทเรียนเอาไปใช้ทั่วโลก สิ่งที่ กฟผ. เห็นคือระบบไฟฟ้าต้องปรับตัวเพื่อรองรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ ตัวพลังงานหมุนเวียนที่จะเข้ามาในระบบมากขึ้น อีกทั้งทุกคนจะต้องอยู่ช่วยกันดูแลระบบในช่วงเวลาวิกฤติ ซึ่งยุโรป 5 วินาทีก็ไปหมดแล้ว
ทั้งนี้ 3 การไฟฟ้ามี Grid Code เพื่อเชื่อมระบบไฟฟ้า โดยผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนได้เข้าร่วมระบบได้ จึงต้องมีส่วนร่วมดูแลระบบ ดังนั้น Grid Code จึงสำคัญ อีกทั้งโรงไฟฟ้าหลักยังถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะต่อไปหากสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนสูงขึ้น การลงทุนจึงสำคัญด้วย แต่การลงทุนก็ส่งผลกระทบค่าไฟ ซึ่งสะท้อนการลงทุนของการเข้ามาของพลังงานหมุนเวียนที่ต้องมีความมั่นคง ราคาถูก และดูแลสิ่งแวดล้อม
ดร.พิมพ์สุภา เกาะช้าง นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิจัยพลังงาน กล่าวว่า สิ่งสำคัญสุดคือ ประชาชนต้องเข้าใจว่า พลังงานหมุนเวียนไม่ใช่ตัวการที่ทำให้ไฟดับ แต่ระบบโครงข่ายต่างหากสำคัญ ตามแผนพลังงานชาติ จะเพิ่ม RE ที่ 51% ส่วน VRE คือแสงแดด และลม อยู่ที่ 22% ซึ่ง กฟผ. ก็สามารถบริหารจัดการได้ ซึ่งโครงข่ายยุโรปต่างกับอาเซียน เพราะยุโรปมีการเชื่อมต่อข้ามประเทศ ซึ่งไทยไม่ได้เทรดดิ้งกับประเทศเพื่อนบ้าน
ดังนั้น ความท้าทายของการเข้ามาในระบบของพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะผู้ใช้งานทั่วไปนั้น ประเทศไทยจะรับมืออย่างไร ถือเป็นแนวโน้มที่ต้องรับมือ ซึ่งไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน และไม่สามารถรอได้ และไม่รู้ว่าจะเกิดวิกฤติอะไร เช่น การเกิดแผ่นดินไหวไทย ก็ไม่มีแผนที่ชัดเจนต่างจากพลังงานที่ได้กำหนดสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเข้ามาชัดเจน
ทั้งนี้ ไทยได้คาดการณ์สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน จะต้องเพิ่มสัดส่วนพลังงานที่มาจากแสงแดด และลม อาจจะเพิ่มเป็นถึง 64 กิกะวัตต์ แต่ต้องเพิ่มระบบกักเก็บแบตเตอรี่ด้วย เพื่อเสริมความมั่นคง อีกส่วนคือ ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วไปที่ติดโซลาร์ทั้งผู้ผลิต และผู้ใช้ด้วย ซึ่งรัฐบาลส่งเสริมให้ใช้ก่อน
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตปี 2040 จะเพิ่มอีก 20 กิกะวัตต์ กลุ่มผู้ใช้ และขาย แนวโน้มติดคู่แบตเตอรี่ เรียกว่า DPV ซึ่งระบบไฟฟ้าของไทยมีการผลิตที่กระจายตัวขึ้น ภาคประชาชน และภาคธุรกิจจะมีส่วนในการผลิตพลังงานมากขึ้น ดังนั้น ระบบโครงข่ายจะต้องรองรับปรับได้ด้วย ดังนั้น ควรมีความพร้อมด้านโครงข่าย ส่งเสริมการใช้แบตเตอรี่ ปรับโครงสร้างเสรีให้เอกชนเข้ามามีบทบาท ตอบสนองความถี่ และเตรียมพร้อมการรับมือฉุกเฉินในภาวะวิกฤติ เพื่อรับมือภัยวิบัติ
ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะ แบ่งเป็น 1. จัดทำ Energy Resilience Roadmap ควบคู่กับ roadmap สู่ Net Zero 2.ปรับนโยบายให้มีความยืดหยุ่นทันต่อเทคโนโลยี และบริบทโลก เพื่อรองรับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น ภัยภูมิอากาศ วิกฤติพลังงาน หรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ 3. สื่อสารกับสาธารณะอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจว่า พลังงานหมุนเวียนไม่ใช่ต้นเหตุของความเสี่ยง แต่ต้องมีระบบสนับสนุนที่เหมาะสม 4. ส่งเสริมงานวิจัยพัฒนาฐานข้อมูลเปิด ส่งเสริมงานวิจัย และพัฒนาฐานข้อมูลเปิด เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย และเปิดพื้นที่ให้ภาคส่วนต่างๆ เข้าถึงข้อมูล และมีส่วนร่วม
รศ.ดร.สุรชัย ชัยทัศนีย์ อาจารย์ประจำภาค วิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า พลังงานหมุนเวียนในไทย 20% มาจากน้ำ แสงอาทิตย์ และชีวมวล ส่วนสเปนมี 50% โปรตุเกส 70% ซึ่งไทยยังน้อยกว่าเยอะ ซึ่งเป้า Net Zero ไทยยังช้ากว่าต่างประเทศ
ทั้งนี้ สาเหตุอาจมาจาก 1. คาดว่ามีการแกว่งตัวของความถี่ระหว่างเขตในยุโรป ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในสเปน 2. รายงานปัญหา แรงดันไฟฟ้าสูงเกิน 470 กิกะวัตต์ ในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสเปน ส่งผลให้การหยุดของเครื่องดำเนิน 2 ตัวในเวลาใกล้เคียงกัน (N-2) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก และอาจเกี่ยวข้องกับ ปัญหาแรงดันไฟฟ้าสูงเกิน และการแกว่งตัวของความถี่ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพ
"ระบบไฟฟ้ามีสภาพ Low Inertia โดยก่อนเกิดเหตุสเปนพึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์ 59% และพลังงานลม 11% ซึ่งทำให้ระบบไฟฟ้ามี Inertia ต่ำมาก อย่างไรก็ตาม อาจจะไม่ใช่สาเหตุหลักของไฟฟ้าดับบริเวณวงกว้าง เนื่องจากโดยทั่วไปไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ N-3 ได้อยู่แล้ว"
ดังนั้น พลังงานหมุนเวียนเป็นเรื่องดี ทุกคนหลีกไม่ได้ แม้สาเหตุเกิดไฟดับมีหลายปัจจัย ทางแก้ปัญหาก็มีหลายทาง ผลกระทบด้านการเงินแต่ละประเทศเยอะมาก กฟผ. ลงทุนมากน้อยก็ถูกจำกัดโดยรัฐ ดังนั้น การลงทุนระบบแบตเตอรี่ ไฮโดรเจน หรือระบบโครงข่ายจึงสำคัญ จึงต้องบริหารจัดการเรื่องดีมานด์ และค่าไฟฟ้าด้วย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







