ครม. เค้นรายได้ตุนงบสู้วิกฤติ เก็บภาษีน้ำมัน เพิ่ม 3.4 หมื่นล้าน

ครม.ถกวาระลับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน - ดีเซล สูงสุด 1 บาทต่อลิตร ขยับส่วนภาษีท้องถิ่น ประกาศราชกิจจานุเบกษา มีผลทันทีวันที่ 7 พ.ค. 68 ที่ผ่านมา ดึงเงินเข้ารัฐ 3.48 หมื่นล้านต่อปี
KEY
POINTS
- ครม.ถกวาระลับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน - ดีเซล สูงสุด 1 บาทต่อลิตร พร้อมขยับส่วนภาษีท้องถิ่น ประกาศราชกิจจานุเบกษา มีผลทันทีวันที่ 7 พ.ค.68 ที่ผ่านมา
- “คลัง” ชี้ดึงเงินเข้ารัฐ 3.48 หมื่นล้านต่อปี ช่วงเศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน ช่วยเพิ่มการจัดเก็บรายได้รัฐบาล
- กบน.ปรับเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รองรับภาษีสรรพสามิต
- ตรึงราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการน้ำมัน ลดผลกระทบประชาชน อย่างน้อยถึงสิ้นปีงบประมาณ
ทิศทางการปรับลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ได้ส่งผลดีต่อค่าครองชีพของประชาชน ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีทางเลือกในการบริหารจัดการราคาน้ำมัน และการจัดเก็บรายได้ของรัฐผ่านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และภาษีท้องถิ่นซึ่งล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ขยับเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่มเติมในน้ำมัน 6 ชนิดแล้วให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามามีบทบาทในการดูแลราคาน้ำมันแทน
การปรับขึ้นภาษีน้ำมันช่วงเวลานี้ แม้กระทบราคาขายปลีก และค่าครองชีพระยะสั้น แต่เป็นมาตรการที่รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อเสริมสร้างฐานะทางการคลัง และเพิ่มรายได้ของรัฐอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในบริบทที่ประเทศยังคงต้องเผชิญกับภาระงบประมาณในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และรองรับความไม่แน่นอนจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก
ดังนั้นการจัดเก็บภาษีในอัตราที่เหมาะสมจึงเป็นกลไกสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางการคลัง ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งในด้านพลังงาน การลงทุน และสวัสดิการประชาชน
“คลัง” เผยขึ้นภาษีน้ำมันหนุนเศรษฐกิจไทย
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2568 ได้ประชุมวาระลับเรื่องการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทั้งน้ำมันเบนซิน และดีเซล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยภายหลังจากที่ ครม.เห็นชอบได้ประกาศกฎกระทรวงการคลังเรื่อง การกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 42) พ.ศ.2568 ในราชกิจจานุเบกษา และมีผลทันทีวันที่ 7 พ.ค.2568
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังให้เหตุผลการปรับขึ้นภาษีน้ำมันครั้งนี้ว่า ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง สมควรเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล
1. น้ำมันเบนซิน 95 จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 6.50 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 7.50 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.650 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.750 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร
2. น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.85 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.75 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.90 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.585 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.675 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.090 บาทต่อลิตร
3. น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 (E10) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.85 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.75 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.90 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.585 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.675 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.090 บาทต่อลิตร
4. น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E20) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.20 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.00 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.520 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.600 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.080 บาทต่อลิตร
รวมทั้งเพื่อให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอันเป็นการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และเสถียรภาพทางการคลังของรัฐ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกเกิดขึ้นจากภาวะสงครามการค้า
รัฐจัดเก็บรายได้เพิ่มปีละ 34,800 ล้านบาท
กรมสรรพสามิต รายงานว่า จากขึ้นอัตราภาษีครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลได้รายได้เพิ่มเดือนละ 2,900 ล้านบาท หรือ 34,800 ล้านบาทต่อปี โดยการขึ้นภาษีสรรพสามิต และภาษีท้องถิ่นครั้งนี้ไม่กระทบราคาขายปลีกน้ำมัน เพราะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดการเก็บเงินส่งกองทุนน้ำมันฯ เพื่อชดเชยอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่จัดเก็บเพิ่ม โดยจะรักษาระดับราคานี้ให้ได้จนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2568 จากนั้นจะทบทวนแนวอีกครั้ง
สำหรับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต และภาษีส่วนท้องถิ่น ของน้ำมันประเภทต่างๆ ที่มีการปรับเปลี่ยนมีรายละเอียดดังนี้
5. น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E85) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 0.975 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 1.125 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.15 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.0975 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.1125 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.080 บาทต่อลิตร
6. น้ำมันดีเซล (H-Diesel) จากเดิมเก็บภาษีสรรพสามิต 5.99 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 6.92 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.93 บาทต่อลิตร ส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.599 บาทต่อลิตร อัตราใหม่ 0.6920 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.093 บาทต่อลิตร
กบน.ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า วันที่ 6 พ.ค.2568 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมัน เพื่อรองรับการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทเบนซิน และดีเซล โดยไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการปรับขึ้น เพื่อช่วยค่าครองชีพของประชาชนช่วงเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบน.มอบหมายให้นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) วิเคราะห์ผลกระทบของการขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทเบนซิน และดีเซล
ทั้งนี้ ได้พิจารณาความสามารถของกองทุนน้ำมัน ในการรองรับรายได้ที่น้อยลง และให้นำเสนอ กบน.ปรับอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบค่าครองชีพจากการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมัน พร้อมแจ้งข้อเท็จจริงต่อไป
นายพรชัย เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และปัจจัยทุกด้านแล้วประเมินได้ว่า กองทุนน้ำมัน สามารถปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรองรับการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ได้จนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2568
กองทุนน้ำมันฯ ติดลบรวม 4.7 หมื่นล้าน
อย่างไรก็ตาม หากเกิดสถานการณ์วิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจนกระทบราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ขาดสภาพคล่อง จะเสนอกระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิต พิจารณาลดภาษีน้ำมันลง เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศให้อยู่ระดับราคาเหมาะสม ซึ่ง กบน.เห็นชอบปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
1.การปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเท่ากับอัตราภาษีสรรพสามิต และภาษีเพื่อราชการส่วนท้องถิ่น ตามมติ ครม.
2.การพิจารณาค่าการตลาดที่เหมาะสม ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค.2568 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันฯ ประเภทน้ำมัน ลดลงวันละ 49.57 ล้านบาทต่อวัน จากวันละ 393.97 ล้านบาทต่อวัน เป็นวันละ 344.40 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 พ.ค. 2568 ติดลบอยู่ที่ 47,779 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบอยู่ที่ 2,540 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบอยู่ที่ 45,239 ล้านบาท
นายพรชัย กล่าวว่า กบน.ยังคงยึดมั่นในการดำเนินงานภายใต้กรอบ พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันภายในประเทศ พร้อมยืนยันหลักการดำเนินงานที่ “เปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้” เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า ทุกมาตรการมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และประชาชน อย่างแท้จริง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์