เปิดรายงานเหตุสหรัฐคงไทยสถานะทรัพย์สินทางปัญญา“วอทช์ลิสต์”

เปิดรายงานเหตุสหรัฐคงไทยสถานะทรัพย์สินทางปัญญา“วอทช์ลิสต์”

สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานทางเศรษฐกิจ ว่าไทยจะได้เจรจา หรือ แก้ปัญหาที่สหรัฐกำลังจะใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้(Reciprocal Tariff) กับไทยหรือไม่ และอย่างไร

แม้จะยังมีเวลาอีกเกือบ 2 เดือนเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆเหล่านี้ แต่ดูเหมือนปัจจัยระหว่างไทยและสหรัฐยังไม่มีสัญญาณที่ดีที่จะทำให้ความหวังว่าการเจรจาจะสามารถเกิดขึ้น หรือ ได้ข้อสรุปที่น่าพอใจ 

เมื่อ 29 เม.ย. 2568 สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR)เปิดเผยรายงานSpecial 301 Reportประจำปี 2025 เรื่องการใช้มาตรการปกป้องและบังคับใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ของประเทศคู่ค้ากับสหรัฐ ซึ่งในปีนี้สหรัฐยังคงจัด“ประเทศไทย”อยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List) 18 ประเทศ เหมือนกับในปีที่แล้ว แม้จะมีความคืบหน้าที่ดีหลายด้าน แต่ก็ยังมีข้อห่วงกังวลอยู่

        รายงานระบุถึงประเทศไทยว่า มีความก้าวหน้าในหลายด้าน อาทิ การปรับปรุงการคุ้มครองและการบังคับใช้ทรัพย์สินทางปัญญา(IP) ในเดือนธ.ค. 2567 ไทยได้เผยแพร่ร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสิทธิบัตรฉบับใหม่ เพื่อปรับปรุงกระบวนการจดทะเบียนสิทธิบัตร ลดปริมาณสิทธิบัตรที่ค้างอยู่และระยะเวลาดำเนินการ และเพื่อช่วยเตรียมการเข้าร่วมความตกลงกรุงเฮกว่าด้วยการจดทะเบียนการออกแบบอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม สหรัฐก็ยังมีข้อห่วงกังวลในบางเรื่องอยู่ อาทิ การบังคับใช้กฎหมายบางส่วนเน้นไปที่คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า แต่สินค้าลอกเลียนแบบและละเมิดลิขสิทธิ์ยังคงหาซื้อได้ง่ายโดยเฉพาะทางออนไลน์ และเจ้าของลิขสิทธิ์กังวลว่าเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจะเน้นที่ความผิดของผู้ประกอบการ “รายย่อย” แทนที่จะมุ่งเป้าที่ผู้จัดจำหน่ายและผู้ประกอบการการผลิตรายใหญ่ เป็นต้น

ทั้งนี้สหรัฐได้จัดให้ไทยอยู่ในบัญชี Watch List มาตั้งแต่ปี 2560หลังจากที่อยู่ในบัญชี“ประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ” (Priority Watch List: PWL)มานานถึง 10 ปีตั้งแต่ปี 2550

ก่อนหน้านี้ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในเดือนก.พ.ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันให้ไทยหลุดพ้นจากบัญชีวอทช์ลิสต์ในปี 2568 ท่ามกลางความพยายามในการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

      การประกาศสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาได้รับความสำคัญในปีนี้ เนื่องจากเป็นปัจจัยหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐในการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวหาประเทศคู่ค้าว่าได้เอาเปรียบสหรัฐทั้งจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากร และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร

  ขณะที่เนื้อหาในรายงานฯ ระบุว่า ไทยยังคงอยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังในปี 2568แม้ว่าไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากในการปรับปรุงการคุ้มครองและการบังคับใช้ทรัพย์สินทางปัญญา โดย ในเดือนธ.ค. 2567 และไทยได้เผยแพร่ร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสิทธิบัตรฉบับใหม่ (Patent Act) โดยไทยยังคงอยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติสิทธิบัตรเพื่อปรับปรุงกระบวนการจดทะเบียนสิทธิบัตร ลดปริมาณสิทธิบัตรที่รอการพิจารณาและระยะเวลารอดำเนินการ และเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมข้อตกลงเฮกเกี่ยวกับการจดทะเบียนการออกแบบอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ 

ในเดือนเม.ย. 2567 ไทยได้เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติในหลักการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าร่วมสนธิสัญญาการแสดงและบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WPPT) 

“สหรัฐยังคงเรียกร้องให้ไทยดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมให้เสร็จสิ้นและเข้าร่วม WPPT  นอกจากนี้ พบว่าเจ้าของสิทธิ์ได้รายงานถึงการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงความสัมพันธ์ในการทำงานที่ดีกับตำรวจไทยและกรมศุลกากรไทย ประสิทธิภาพในการยึดของกรมศุลกากรไทยที่เพิ่มขึ้น และความประทับใจในเชิงบวกต่อระบบบันทึกทรัพย์สินทางปัญญาของกรมศุลกากรไทยที่จัดตั้งขึ้นในปี 2565” รายงานระบุ 

นอกจากนี้  กรมทรัพย์สินทางปัญญาและตำรวจไทยกำลังดำเนินการตามแผนปฏิบัติการสำหรับการบังคับใช้กฎหมายที่มีความสำคัญสูงต่อสินค้าลอกเลียนแบบและละเมิดลิขสิทธิ์ รวมถึงการบุกค้นคลังสินค้าและการยกเลิกข้อตกลงการเช่าสำหรับผู้เช่าที่ถูกจับกุมในข้อหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่ศูนย์การค้าใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในรายชื่อตลาดที่ฉาวโฉ่สำหรับการปลอมแปลงและละเมิดลิขสิทธิ์ปี 2567 

ตั้งแต่ปี 2568 องค์กรจัดการร่วม ( management organizations :CMOs) ได้กำหนดให้มีเครื่องหมายรับรองข้อปฎิบัติที่ตกลงร่วมกันเรื่องการไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งออกโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ แต่ก็ยังพบว่า แม้ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าในด้านเหล่านี้ แต่ยังคงมีความกังวลอยู่ แม้ว่าการบังคับใช้กฎหมายบางส่วนจะเน้นที่คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า แต่สินค้าลอกเลียนแบบและละเมิดลิขสิทธิ์ก็ยังคงมีอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางออนไลน์ 

ทั้งนี้ ผู้ถือสิทธิ์แสดงความกังวลว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจะเน้นที่ความผิดของผู้ประกอบการรายย่อยแทนที่จะกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้จัดจำหน่ายและผู้ผลิตรายใหญ่

“สหรัฐ เรียกร้องให้ประเทศไทยปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิผล และเพิ่มการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายทางอาญา โดยเฉพาะกับซัพพลายเออร์ต้นน้ำ”รายงานระบุ 

อย่างไรก็ตาม รายงานอ้างอิงถึงข้อมูลจากเจ้าของลิขสิทธิ์ หลายรายว่าได้มีการรายงานปัญหาการละเมิดไปยังแพลตฟอร์มโซเซียลหลายรายเพื่อให้จัดการกับการละเมิดดังกล่าวซึ่งเป็นไปตาม บันทึกข้อตกลง(เอ็มโอยูเมื่อปี 2564) ซึ่งความพยายามดังกล่าวพบว่า มีผลในทางปฎิบัติน้อยมาก โดยยังพบ ว่ายอดขายสินค้าลอกเลียนแบบและละเมิดลิขสิทธิ์กลับเพิ่มขึ้นทางออนไลน์ 

เจ้าของลิขสิทธิ์ได้รายงานการบังคับใช้กฎหมายและการยับยั้งการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ซึ่งพบว่าอัตราการดำเนินการที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับช่องทางการค้าออนไลน์ ทั้งด้านอุปกรณ์ หรือ แอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้ใช้สามารถสตรีม หรือ ดาวน์โหลดเนื่้อหาที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือ ไม่ถูกลิขสิทธิได้อย่างกว้างขวาง และข้อมูลจากเจ้าของลิขสิทธิ์ยังระบุอีกว่า การดำเนินคดีอาญาต่อการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์นั้นยังใช้เวลานานซึ่งแม้ว่าในที่สุดจะมีการตัดสินลงโทษก็ตามแต่โทษที่ได้รับนั้นเหมือนว่าจะไม่เพียงพอที่จะป้องกันพฤติกรรมละเมิดลิขสิทธิ์ในอนาคตได้

 “ สหรัฐยังเรียกร้องให้ประเทศไทยพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์เพื่อแก้ไขข้อกังวลต่างๆ รวมถึงอุปสรรคด้านขั้นตอนในการบังคับใช้กฎหมายต่อการบันทึกภาพโดยไม่ได้รับอนุญาตและประเทศไทยควรแก้ไขปัญหาการคั่งค้างของการตรวจสอบสิทธิบัตรที่รอการพิจารณาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเภสัชกรรม”

รายงานระบุว่า เมื่อธ.ค. 2566 ประเทศไทยได้เผยแพร่ร่างแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งสหรัฐเรียกร้องให้ประเทศไทยรับรองความโปร่งใสและกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายในการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GIs) และรับรองว่าการให้การคุ้มครอง GI จะไม่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่สามารถใช้ชื่อสามัญได้

        ส่วนข้อกังวลอื่นๆ ของสหรัฐ ได้แก่ การใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีใบอนุญาตอย่างต่อเนื่องในภาคเอกชน กระบวนการบังคับใช้ทรัพย์สินทางปัญญาทางแพ่งที่ยาวนานและค่าเสียหายทางแพ่งที่ต่ำ โดยเจ้าของลิขสิทธิ์ในสหรัฐยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีโอที่อนุญาตให้จำกัดโควตาเนื้อหาสำหรับภาพยนตร์ และเรียกร้องให้ประเทศไทยสรุปร่างแก้ไขพระราชบัญญัติภาพยนตร์ฉบับใหม่ที่ประกาศในเดือนก.ย. 2567  ซึ่งจะยกเลิกโควตา ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยังคงสนับสนุนให้ประเทศไทยจัดทำระบบที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลการทดสอบหรือข้อมูลอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตซึ่งสร้างขึ้นเพื่อขออนุมัติการเข้าถึงตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ยาและสารเคมีทางการเกษตร

สหรัฐหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับไทยต่อไปเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้และปัญหาอื่น ๆ ผ่านกรอบข้อตกลงการค้าและการลงทุนระหว่างสหรัฐฯ และไทย (TIFA)และการมีส่วนร่วมทวิภาคีอื่น ๆ

เปิดรายงานเหตุสหรัฐคงไทยสถานะทรัพย์สินทางปัญญา“วอทช์ลิสต์”