กกร. ชี้หากไทยโดนภาษี 36% ฉุดส่งออกทั้งปีหดตัว 2% GDP โตเหลือ 0.7 - 1.4%

กกร. หั่นประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ลงเหลือ 2.0 - 2.2% ชี้หากไทยโดนภาษีนำเข้าสหรัฐ 36% ฉุดส่งออกทั้งปีหดตัว 2% GDP โตเหลือ 0.7 - 1.4% จี้รัฐลดต้นทุนภายในประเทศช่วยผู้ประกอบการบรรเทาผลกระทบสงครามการค้า ค่าเงินบาทแข็ง และเร่งเจรจาสหรัฐให้ภาษีแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยผลการประชุมประจำเดือนพ.ค.2568 ว่า กกร. ปรับลดประมาณการ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 ลงเหลือ 2.0-2.2% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.4-2.9% โดยมีปัจจัยหลักมาจากผลกระทบของสงครามการค้าและการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก
ทั้งนี้สถานการณ์สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP โลกปี 2568 ลงเหลือ 2.8% จาก 3.3% และเตือนว่ามาตรการกีดกันทางการค้าจะทำให้ปริมาณการค้าโลกเติบโตเพียง 1.7% ซึ่งต่ำกว่าช่วงวิกฤติหนี้สาธารณะยุโรปในปี 2554 นอกจากนี้ ประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐ และจีน ต่างแสดงสัญญาณเชิงลบ สะท้อนถึงความเปราะบางในระยะข้างหน้า
ที่ประชุม กกร. ประเมินว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคการส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าหลายกลุ่ม หากไทยถูกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ในอัตรา 36% มูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐ อาจสูญเสียสะสมประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี นอกจากนี้ ยังเพิ่มแรงกดดันต่อกลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกจ้างประมาณ 3.7 ล้านคน และ SMEs เกือบ 5 พันราย ซึ่งมีข้อจำกัดในการปรับตัว
ภายใต้การประเมินสถานการณ์ที่ไทยถูกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ในอัตรา 10% ในช่วงไตรมาส 2/2568 และยังคงอัตราภาษีที่ 10% ในครึ่งปีหลัง คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกทั้งปี 2568 จะเติบโตเพียง 0.3-0.9% จากประมาณการเดิม 1.5-2.5% ส่งผลให้การเติบโตของ GDP ไทยอยู่ในช่วง 2.0-2.2%
อย่างไรก็ตาม หากไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ในครึ่งปีหลัง GDP ปี 2568 อาจขยายตัวเพียง 0.7%-1.4% และการส่งออกทั้งปีอาจหดตัวได้มากถึง -2% ซึ่งปัจจัยลบจากสงครามการค้าอาจก่อให้เกิดหลุมรายได้ขนาดใหญ่ถึง 1.6 ล้านล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า
"กกร. จึงเน้นย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการเจรจากับสหรัฐ เพื่อลดภาษี พร้อมกับการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย"
นอกจากนี้ กกร. สนับสนุนภาครัฐในการดำเนินแนวทางการป้องกันผลกระทบจากสถานการณ์เบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) จากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ โดยเฉพาะการใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure) เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเสนอให้ภาครัฐบูรณาการข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก ใช้ระบบดิจิทัล (e-Government) ช่วยในการวิเคราะห์ ติดตาม เฝ้าระวัง และปรับกระบวนการให้สามารถเปิดไต่สวนได้ทันทีหากพบการนำเข้าเพิ่มขึ้นผิดปกติ
ที่ประชุมยังให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดสหรัฐ โดยเห็นชอบร่วมกันกับกระทรวงพาณิชย์ ส.อ.ท. และสภาหอการค้า ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานเดียวในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form C/O) ทั่วไป สำหรับรายการสินค้าเฝ้าระวัง 65 รายการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 49 รายการ
"กกร. มองว่า นอกจากการเจรจาเพื่อลดกำแพงภาษีกับสหรัฐแล้ว ไทยยังต้องติดตามผลการเจรจาของประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งอาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐได้ หากประเทศเหล่านี้ได้รับการยกเว้นหรือลดอัตราภาษีต่ำกว่าไทย"
ทั้งนี้ สัญญาณการเตรียมเจรจาเพื่อคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ถือเป็นสัญญาณบวกต่อการค้าโลก
ประเด็นความกังวลอีกด้านคือ สถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค กกร. มองว่าแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้ จึงเสนอให้มีการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วเกินไป และมีการสื่อสารเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจรับรู้ และปรับตัวได้ทัน รวมถึงการส่งผ่านประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง เช่น ต้นทุนนำเข้าพลังงาน และวัตถุดิบที่ลดลง ไปยังภาคการผลิต และภาคประชาชนอย่างเป็นระบบ
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ภาคเอกชนอยากเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว หลังจากที่นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำลงมาก โดยในระยะสั้นการอัดฉีดเม็ดเงินเป็นเรื่องจำเป็น
ดังนั้นการตั้งรับของไทยต่อจากนี้ควรมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดใหม่มากขึ้น เร่งการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ เช่น BRICS
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







