ครม.ไม่แก้ พ.ร.บ.งบฯ 69หวังใช้กลไกสภาฯปรับงบฯรับมือทรัมป์

"รัฐเร่งใช้กลไกสภาฯ ปรับงบปี 2569 สู้วิกฤต ‘ทรัมป์รีเทิร์น’ สหรัฐขึ้นภาษี 36% ฉุดเศรษฐกิจทรุด ปลัดคลังชี้ย้อนงบกลับ ครม. เสียเวลา 4 เดือน แปรงบฯเข้างบกลางสู้วิกฤตทรัมป์
KEY
POINTS
- รัฐบาลเดินหน้าพ.ร.บ.งบฯ69 ไม่ปรับแก้ในชั้น ครม. หวังใช้กลไกสภาฯ ปรับงบปี 2569 รองรับวิกฤต ‘ทรัมป์’
- 'ปลัดคลัง' แจงหากรื้องบฯต้องใช้เวลา 4 เดือน แต่ใช้กลไกกรรมาธิการแปรงบรายการไม่จำเป็นเข้าสู่งบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจได้
- รมว.คลัง รับเล็งทบทวน‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ - ทบทวนงบไม่จำเป็น
- 'ศิริกัญญา' ห่วงรัฐตีเช็คเปล่า โยนสภาตัดงบฯไปตั้งงบกลางฯโดยไม่มีรายละเอียด ระบุตัดงบฯในสภาฯทำไม่ง่าย มีข้อจำกัดมาก
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2568 ซึ่งเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) จ.นครพนม โดยร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มีวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณปีก่อน 27,900 ล้านบาท โดยมีรายจ่ายสำคัญ ประกอบด้วย
1.รายจ่ายประจำ 2.65 ล้านล้านบาท ลดลงจากงบประมาณปี 2568 จำนวน 28,135 ล้านบาท หรือลดลง 1.0% และคิดเป็นสัดส่วน 70.2 % ของวงเงินงบประมาณรวม ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ซึ่งมีสัดส่วน 71.4%
2.รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 123,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณปี 2568 ที่ไม่มีการเสนอตั้งบประมาณ และคิดเป็นสัดส่วน 3.3 % ของวงเงินงบประมาณรวม
3.รายจ่ายลงทุน 864,077 ล้านบาท ลดลงจากงบประมาณปี 2568 จำนวน 68,284 ล้านบาท หรือลดลง 7.3% และคิดเป็นสัดส่วน 22.9 % ของวงเงินงบประมาณรวม ลดลงจากงบประมาณ 2568 ที่มีสัดส่วน 24.8%
4.รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 151,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณปี 2568 จำนวน 1,100 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 0.7% และคิดเป็นสัดส่วน 4.0% ของวงเงินงบประมาณรวม
ขณะนี้รัฐบาลมีแนวคิดปรับงบประมาณปี 2569 สอดคล้องความเสี่ยงนโยบายภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น 36% ซึ่งกระทบการส่งออกและภาคการผลิต และทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดเหลือ 2.1% จากเดิม 3.0% ส่วนธนาคารโลกปรับลดเหลือเพียง 1.6%
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า งบประมาณปี 2569 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาจะหารือสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเพื่อให้จัดสรรงบประมาณสำหรับเตรียมความพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง โดยต้องใช้เม็ดเงินขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่อาจทบทวน โดยจะพิจารณาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
ใช้กลไกสภาฯปรับงบประมาณปี 69
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ได้เสนอรัฐสภาไปแล้ว โดยการปรับแก้ไขเพื่อรับมือผลกระทบจากสงครามการค้าโลกจะไม่ย้อนมาให้ ครม.พิจารณาใหม่เพราะจะใช้เวลาทำงบประมาณเพิ่มอีก 4 เดือน และอาจประกาศใช้ไม่ทันตามกำหนด
ทั้งนี้ รัฐบาลเสนอให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามเดิม โดยให้ปรับแก้ไขในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งอาจเพิ่มรายการรายจ่ายเพื่อรองรับผลกระทบสงครามการค้า
สำหรับการปรับเปลี่ยนรายละเอียดงบประมาณคาดว่ายังคงวงเงินไว้ที่ 3.78 ล้านล้านบาท โดยสถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้ไม่ควรลดวงเงินงบประมาณเพื่อให้มีเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ แต่ต้องจัดลำดับความสำคัญและปรับเปลี่ยนรายจ่าย ซึ่งฝ่ายค้านจะมีส่วนร่วมในการพิจารณาปรับร่างงบประมาณด้วย
นายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณแบบขาดดุล 860,000 ล้านบาท ยังคงเป็นไปตามปฏิทินงบประมาณที่ ครม.เห็นชอบเมื่อวันที่ 29 เม.ย.2568 เข้าสู่การจัดพิมพ์เอกสารงบประมาณเพื่อให้ ครม.ตรวจสอบก่อนส่งเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
ห่วงงบล่าช้ากระทบเศรษฐกิจปลายปี
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า การปรับวงเงินงบประมาณปี 2569 ครม.ตัดสินใจไม่ทำก่อนเสนอรัฐสภา เพราะขั้นตอนการจัดทำงบประมาณจะต้องทำรายละเอียดและข้อเสนอโครงการของแต่ละหน่วยงาน และถ้าปรับเปลี่ยนขั้นตอนจะใช้เวลามากเพราะต้องให้หน่วยงานไปลดวงเงินหรือปรับโครงการจะทำให้งบประมาณปี 2569 ล่าช้า
“หากงบประมาณล่าช้าจะกระทบเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจต้องการงบประมาณรัฐลงไปกระตุ้นเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐ ดังนั้นการตัดลดงบประมาณจึงให้ไปใช้กลไกกรรมาธิการแทนเพื่อไม่ให้งบประมาณล่าช้า”
ส่วนการจัดทำงบประมาณเพื่อรองรับภาวะวิกฤติจากนโยบายภาษีของสหรัฐนั้นรัฐบาลมีทางเลือก โดยชั้นกรรมาธิการนำงบประมาณที่ปรับลดในรายการที่ไม่จำเป็นมาเพิ่มในงบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ และปัจจุบันมีวงเงินส่วนนี้ 25,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เดิมรัฐบาลเตรียมไว้สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเพิ่มเติม โดยมีการทบทวนความจำเป็นว่าจะไม่ใช้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจะใช้วงเงินส่วนนี้ไปใช้ในโครงการอื่นเพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ
รวมทั้งช่วงโควิด-19 รัฐบาลปรับลดงบประมาณรายการไม่จำเป็นเพื่อนำงบประมาณมาใช้รองรับวิกฤติโดยครั้งนั้นตัดลดงบดูงานต่างประเทศลง 40,000-50,000 ล้านบาท
ฝ่ายค้านหวั่นตีเช็คเปล่างบกลางฯ
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลจะใช้กลไกรัฐสภาปรับเปลี่ยนงบประมาณปี 2569 เพื่อให้มีงบรองรับวิกฤติ ซึ่งรัฐบาลควรทำในชั้น ครม.และรัฐบาลดึงกลับไปทบทวนได้ โดยใช้เวลาไม่นานเพราะรัฐบาลมอบหมายหน่วยงานแก้ไขหรือปรับลดงบประมาณรายการไม่จำเป็นได้ ซึ่งอาจช้ากว่าปฎิทินงบประมาณเดิม 2 สัปดาห์
สำหรับการที่รัฐบาลให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้พิจารณาตัดงบเองจะยากในทางปฏิบัติ เพราะสภาผู้แทนราษฎรเป็นฝ่ายนิติบัญญัติจะตัดงบได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถเพิ่มโครงการใหม่จึงมีเพียง 2 ทางเลือก
1.การแปรญัญติงบประมาณเข้าโครงการที่หน่วยงานเคยส่งคำขอมาก่อน แต่สำนักงบประมาณตัดออกไป
2.การแปรญัญติงบเข้างบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสร้างความเข้มแข็งที่เดิมตั้งไว้ 25,000 ล้านบาท โดยหากตัดเข้างบกลางที่ไม่มีรายละเอียดโครงการเท่าเป็นการอนุมัติงบที่เป็นการตีเช็กเปล่าให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ โดยไม่เห็นรายละเอียดว่าโครงการ
นอกจากนี้ การตัดงบประมาณในปีงบประมาณ 2568 มีปัญหาโดยเฉพาะการตัดงบส่วนอื่นเพื่อไปทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งพรรคร่วมจะปกป้องงบประมาณของหน่วยงานที่ดูแลจึงทำให้ตัดงบทำได้ไม่มาก
รวมทั้งสุดท้ายปี 2568 ต้องไปตัดงบที่ตั้งไว้ชำระหนี้ให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รวมวงเงิน 30,000 ล้านบาท
“ขอให้รัฐบาลตั้งวงเงินที่ต้องการให้ตัดมาเลยว่าอยากให้ตัดกี่แสนล้าน และจะทำโครงการอะไรมีรายละเอียดชัดเจนเพื่อให้สภาและ กมธ.จากพรรคร่วมรัฐบาลยินยอมให้ตัดงบ และฝ่ายค้านจะสบายใจมากขึ้นว่าไม่ได้ตัดงบเพื่อเซ็นเช็คเปล่าให้รัฐบาลเอาไปทำอะไรก็ได้”
ส่วนแนวคิดตัดงบประมาณดูงานต่างประเทศของส่วนราชการมารองรับวิกฤติ เห็นว่าเป็นการทำในรูปแบบ พ.ร.บ.โอนงบประมาณ ซึ่งเคยทำในปี 2563 ช่วงวิกฤติโควิด-19 ได้วงเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำได้เมื่อประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 แล้ว แต่หากใช้แนวทางนี้จะมีความล่าช้าในการทำโครงการและอาจไม่ได้งบประมาณกลับมามากนัก
ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญอยู่ที่รัฐบาลต้องบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ โดยงบกลางรายจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 มีวงเงินเหลือ 157,000 ล้านบาท ไม่ควรใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่ควรใช้ลงทุนหรือการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐมากกว่า







