‘มูดี้ส์’ปรับ Outlook ไทย สัญญาณเตือนเศรษฐกิจที่ไม่อาจมองข้าม

‘มูดี้ส์’ปรับ Outlook ไทย สัญญาณเตือนเศรษฐกิจที่ไม่อาจมองข้าม

การถูกปรับลดแนวโน้มหรือ Outlook เศรษฐกิจไทย จากมีเสถียรภาพลงสู่เชิงลบ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 17 ปี เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะพื้นที่การคลังที่ลดลงมาก

สัปดาห์ก่อนข่าวร้ายที่กระทบกับเศรษฐกิจไทยคงหนีไม่พ้น กรณีที่ บริษัท มูดี้ส์ เรทติ้งส์หรือชื่อเดิมคือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่เก่าแก่และมีอิทธิพลแห่งหนึ่งของโลกประกาศลดอันดับมุมมอง “แนวโน้ม” (Outlook) อันดับเครดิตของประเทศไทย จาก“มีเสถียรภาพ”ลงสู่แนวโน้ม “เชิงลบ” ซึ่งเป็นการปรับลงสู่ระดับ “Negative”เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 17 ปี

แม้ว่าการปรับลดครั้งนี้จะยังไม่ได้เป็นการปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้งของไทย แต่การปรับมุมมองลงสู่ทิศทางเชิงลบก็ถือเป็นสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยจะประมาทไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมูดี้ส์ได้ชี้ว่าการเปลี่ยนมุมมองในครั้งนี้มาจากข้อกังวลเรื่องสำคัญ คือ

“ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และการคลังของประเทศจะอ่อนแอลง”

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ระบุว่าแม้ว่าประเทศไทยจะเคยถูกปรับลด Outlook ของเครดิตเรตเป็นเชิงลบมาก่อน แต่ในรอบนี้ต่างจากรอบก่อน เพราะวิกฤตในรอบนั้นเกิดขึ้นในขณะที่ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ

รัฐบาลไทยกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2551 - 2552 ด้วยมาตรการการคลัง ทำให้ยอดขาดดุลการคลังเพิ่มสูงขึ้น แต่ระดับหนี้สาธารณะของไทยขยับจาก 35.0% ของจีดีพี ณ กันยายน 2551 มาที่ 39.3% ของจีดีพี ณ ตุลาคม 2553 หรือขยับขึ้นเพียง 4.3% เท่านั้น

แต่ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ระบุว่าปัจจุบัน หนี้สาธารณะไทยอยู่ที่ 64.21% ต่อจีดีพีซึ่งเป็นระดับหนี้ที่สูงกว่าเดิมอย่างมาก และเข้าใกล้ระดับเพดานหนี้ที่ 70% เข้าไปทุกที

สิ่งที่ทำให้มูดี้ส์ปรับมุมมองของเราลงจึงไม่ใช่เป็นเพราะเรากำลังจะเจอวิกฤตที่จากภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs)ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯแบบที่รัฐบาลพยายามบอกเราเท่านั้น

 แต่สิ่งที่เขาชี้ให้เราเห็นคือประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่วิกฤตรอบใหม่ด้วย “สถานการณ์คลัง” ที่ไม่ได้แข็งแรงเหมือนในอดีต

หนี้สาธารณะที่สูงขึ้นทำให้เรามี“พื้นที่การคลัง”เหลือน้อยมากที่จะลองรับวิกฤตครั้งใหม่เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมาซึ่งปัญหานี้เป็นเรื่องที่คนในฟากฝั่งรัฐบาลยังพูดความจริงเรื่องนี้กันน้อยเกินไป

ดังนั้นแทนที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์สถาบันจัดอันดับเครดิตว่าเขาจัดอันดับหรือประเมินมุมมองต่อเศรษฐกิจเราเร็ว หรือช้าเกินไปหรือไม่

รัฐบาลควรรับฟังจุดอ่อนของเศรษฐกิจไทยที่มูดี้ส์ได้เตือนว่ามีจุดอ่อน และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง แล้วมาปรับปรุง และแก้ไข วางแผนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็งให้ได้

รวมทั้งต้องงดเว้นนโยบายประชานิยมระยะสั้น อย่างการแจกเงินแล้วหันมามุ่งมั่นที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโต และแข่งขันได้ในระยะยาว

หากทำได้เช่นนี้โอกาสที่ประเทศไทยจะได้ปรับมุมมองกลับมาเป็น “Stable” และ “Positive” ในอนาคตก็ยังพอมีความเป็นไปได้