ถอดบทเรียน 4 ปลัดคลัง การคลัง 4 ยุค เดินหน้าฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจยุคโลกป่วน

ถอดบทเรียน 4 ปลัดคลัง การคลัง 4 ยุค เดินหน้าฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจยุคโลกป่วน

ถอดบทเรียน 4 ปลัดกระทรวงการคลัง เล่าย้อนอดีตถึงปัจจุบัน เดินหน้าการคลังฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจยุคโลกป่วน “ลวรณ” รับการบ้านดันเป้าจัดเก็บรายได้ต่อจีดีพีแตะ 18% จากปัจจุบัน 12-13%

“กรุงเทพธุรกิจ” ชวนทุกท่านรู้จักกับ 4 บุคคลสำคัญของกระทรวงการคลัง จากการเสวนาในหัวข้อ “ย้อนเวลากับเรื่องเล่าคนคลัง“ โดยผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ได้แก่ นายอรัญ  ธรรมโน, ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล, นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ และนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นกิจกรรมพิเศษภายในงาน “MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย” เนื่องในโอกาสครบรอบ 150 ปี กระทรวงการคลัง ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2568

 

ดร.อรัญ ธรรมโน อดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวย้อนถึงตอนเข้ารับราชการครั้งแรกว่า เมื่อเดือน มิ.ย. 2497 ผมเข้ารับราชการกระทรวงการคลังในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะย้ายไปทำงานที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก่อนจะกลับมาทำงานที่กระทรวงการคลังอีกครั้งในปี 2504 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ช่วงการพัฒนาประเทศ ช่วงเวลาที่ต้องกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อทำโครงการในการพัฒนาประเทศ 

ทั้งนี้ การจะกู้เงินจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก หรือกองทุนการออมระหว่างประเทศ (IMF) จะต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเพื่อให้ผู้กู้พิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุน ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงเวลานั้นได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นหน่วยการเศรษฐกิจที่มีความน่าเชื่อถือ 

ดร.อรัญ กล่าวถึงบทบาทสำคัญของ อ.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ว่า อ.ป๋วยเป็นผู้ปลุกเสกความเชื่อมั่นของ สศค. ขึ้นมาได้ด้วยการตั้งวินัยทางการเงินการคลังเพื่อเป็นแนวทางดำเนินงาน ได้แก่

1.การตั้งงบลงทุนจะต้องไม่ต่ำกว่า 30% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดทุกปี

2.ให้ควบคุมปริมาณการผลิตเงินแต่ละปีเพื่อไม่ให้เกิดเงินเฟ้อ โดยจะต้องผลิตเงินเท่ากับอัตราเพิ่มของ GDP+3

3.การกู้เงินจากต่างประเทศจะต้องกู้จากธนาคารโลก เพราะมีบริการด้านการศึกษาคความเป็นไปได้ของโครงการด้วย 

”หากเปรียบกับการสร้างพระพุทธรูป สศค.ที่เกิดขึ้นมาในช่วง 4-5 ปี แรกได้รับความเชื่อมั่นก็เพราะได้รับการปลุกเสกของ อ.ป๋วย“ ดร.อรัญกล่าว

ถอดบทเรียน 4 ปลัดคลัง การคลัง 4 ยุค เดินหน้าฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจยุคโลกป่วน

โดยในช่วงเวลา 3 ปี ที่ผมดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ 2536-2538 มีงบประมาณเกินดุลทั้ง 3 ปี ได้แก่ 1.2% 2.0% และ 2.6% ตามลำดับ รวมทั้งตั้งงบประมาณลงทุนได้เกิน 30% ของบประมาณรายจ่ายทุกปีอีกด้วย

”ผมถือว่าตัวเองเป็นปลัดกระทรวงการคลังรุ่นเก่าคนสุดท้าย โดยผมมอบหมายตำแหน่งนี้ต่อให้แก่ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล เป็นปลัดกระทรวงการคลังรุ่นใหม่คนแรกของกระทรวง”

นายอรัญ กล่าวว่า สิ่งที่อยากจะเสนอให้กระทรวงการคลังในยุคปัจจุบัน ดำเนินการ คือ การตั้งเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)  ด้วยการเพิ่มฐานการจัดเก็บภาษี ลดการขาดดุล โดยสัดส่วนที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ 18-20% ของจีดีพี

“ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ต่ำลงเรื่อยๆ เห็นตัวเลขล่าสุดของธนาคารโลก เหลืออยู่ 3.5% นักเศรษฐศาสตร์ประเมินอยู่ที่ 2% เท่านั้น ซึ่งหากศักยภาพเศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับนี้ แล้วเติมเงินปริมาณมากเข้าไปในระบบ ไม่ว่าจะเป็นเงินเยียวยาหรืออะไรก็ตาม สิ่งที่จะปรากฏออกมาจะเป็นเพียงรูปแบบของเงินเฟ้อและเงินไหลออกนอกประเทศเท่านั้น ทั้งนี้หากผลักดันให้เศรษฐกิจโตได้ 5% ประเทศน่าจะเจริญได้ดีกว่านี้”

ถอดบทเรียน 4 ปลัดคลัง การคลัง 4 ยุค เดินหน้าฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจยุคโลกป่วน

ปลัดท่านต่อมา ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล กล่าวถึงการเริ่มต้นทำงานที่ไม่ตรงกับวุฒิปริญญาของตนว่า ความจริงแล้วผมจบคณะวิศวกรรม แต่มีโอกาสได้มาเริ่มทำงานในกระทรวงการคลังเพราะในเวลานั้น สศค.ต้องการนักวิชาการที่จะทำการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) เพื่อขอเงินกู้จากธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ 

หลังจากนั้นเส้นทางการทำงานของ ม.ร.ว.จัตุมงคล ย้ายไปเป็นอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดเรื่องอภิปรายใหญ่ในสภา ที่มีการสอบสวน ส.ส. 10 คน ในกรณีการทุจริตรับสินบน 

“ผมในฐานะอธิบดีสรรพากรมีหน้าที่ตรวจสอบการเสียภาษี ซึ่งผมเป็นวิศวะ สองบวกสองเป็นสี่ มันจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้” 

ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสาเหตุให้ต่อมา ขณะที่ผมดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังได้ถูกสั่งย้ายให้ไปทำงานที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ค่อยมีงานทำนัก ในที่สุดจึงตัดสินใจลาออกจากราชการ

ซึ่งเป็นช่วงปี 2540 ที่ไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจใหญ่ ค่าเงินบาทอ่อนค่าถึง 55 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีการสั่งปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกจากตำแหน่งถึง 3 คนติดต่อกัน

“ตอนนั้นผมถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ ซึ่งปัญหาคือแม้จะทำงานกระทรวงการคลังมาก่อน แต่ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องการเงินเลย แม้จะทำท่าว่ารู้”

ในช่วงการดำรงตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ 3 เดือนแรก ม.ร.ว.จัตุมงคล เผยว่า “ตนกบดานอยู่ในแบงก์ชาติ วังบางขุนพรหม และปฏิเสธที่จะพบสื่อ”

ซึ่งในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะต้องจัดแถลงข่าวเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและตอบคำถามว่าแบงก์ชาติกำลังทำอะไรอยู่ โดยคำถามที่ผมจำได้จากนักข่าวหนุ่มคนหนึ่งคือ ”แล้วเป้าหมายกรอบเงินเฟ้อของไทยหล่ะ“ ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อกำหนดกรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย (Inflation Targeted) ของไทย และยังเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินที่ไทยยังใช้อยู่ในปัจจุบัน

ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวถึงสิ่งที่ภูมิใจในการทำงานที่ผ่านมาว่า การแยกบทบาทระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแยกบทบาทการคลัง ออกจากการเงินชัดเจน ซึ่งเป็นแนวทางที่แทบทุกประเทศทำ และจัดทำกฎหมายของธปท.ด้วย แม้การทำงานธปท.กับกระทรวงการคลังจะควบคู่กัน แต่เดินคนละทางเสมอมา 

”งานใหญ่ของผมคือการแยกแบงก์ชาติออกจากคลังได้อย่างแท้จริง และทำให้โครงสร้างการบริหารแบงก์ชาติเป็นอิสระจากคนใน โดยคณะกรรมการส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นกับกระทรวงการคลัง ผมภูมิใจที่สามารถแยกกฎหมายและการบริหารแบงก์ชาติออกมาได้เป็นอิสระจากรัฐบาล“

ถอดบทเรียน 4 ปลัดคลัง การคลัง 4 ยุค เดินหน้าฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจยุคโลกป่วน

ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เล่าว่า ผมไม่ได้เป็นลูกหม้อกระทรวงการคลังตั้งแต่วันแรก ผมเริ่มต้นชีวิตราชการจากการเป็นอาจารย์ ที่ธรรมศาสตร์ ก่อนจะได้รับทุนเรียนต่อแล้วกลับมาทำงานที่กระทรวงการคลัง และเข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง ในช่วงปี 2552

โดยขณะนั้นในปี 2551 ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เศรษฐกิจไทยติดลบ นโยบายการคลังต้องตอบโจทย์วิกฤต เราเข้าไปดูแลประชาชน เริ่มต้นจากการออก “เซ็คช่วยชาติ” สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มีการแจกเงินคนละ 2,000 บาท เป็นเม็ดเงินรวม 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นนโยบายดูแลเศรษฐกิจระยะสั้น

”การออกนโยบายในช่วงวิกฤติ ต้องออกไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุด  คือ ส่งไปยังกลุ่มฐานราก แต่ขณะนั้นยังไม่มีทะเบียนคนจน จึงส่งผ่านไปยังผู้ประกันตนแทน โดยเราแจกเช็คช่วยชาติร่วมกับสำนักงานประกันสังคม ให้ส่งเงินไปยัง ผู้ประกันตน มาตรา 33 เพื่อใช้จ่ายเงินลงไปสู่ฐานราก"

สำหรับการดูแลเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวต่อนั้น  ขณะนั้นได้มีการออกเงินกู้ไทยเข้มแข็ง 4 แสนล้านบาท แต่วงเงินยังไม่พอ ต้องร่วมกับงบประมาณ และรัฐวิสาหกิจ รวมกันแล้ว เป็นวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท เกิดเป็นโครงการไทยเข้มแข็ง โดยมีการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น ถนน สนามบิน และมีการปรับโครงสร้างทางสังคม เช่น การพัฒนาคน ราชการ และพัฒนาระเบียบต่างๆ 

“ไทยเข้มแข็งขณะนั้น ทำให้โครงสร้างพื้นฐานไทยดีขึ้นมา ถือว่าเป็นการบรรเทาระยะสั้น และฟื้นฟูระยะปานกลาง ทำให้จีดีพีฟื้นตัว ในปี 2552 เป็นเติบโต 7.5%"

นอกจากนั้นผลงานที่ผมภูมิใจคือเรื่องการปฏิรูปภาษีทรัพย์สิน ผ่านการทำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ออกมาในปัจจุบัน จากเดิมที่มีการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและภาษีท้องที่ ซึ่งถือเป็นการกระจายอำนาจการคลังไปสู่ท้องถิ่นอีกด้วย และยังได้เข้าไปผลักดันกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการออมที่สามารถดูแลตัวเองได้ในยามเกษียณ

 

ถอดบทเรียน 4 ปลัดคลัง การคลัง 4 ยุค เดินหน้าฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจยุคโลกป่วน นายลวรณ แสงสนิท กล่าวว่า กระทรวงการคลัง ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดูแลเงินทองของประเทศ กรณีการเพิ่มฐานภาษี เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นนั้น ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างดำเนินการการ โดยปัจจุบันการจัดเก็บรายได้รัฐอยู่ที่ 12-13% ต่อจีดีพี โดยจะพยายามปรับโครงสร้างภาษี เพิ่มฐานการจัดเก็บภาษีให้ได้ 18% ของจีดีพีนั้น เท่ากับเพิ่ม 5% คิดเป็นเงิน 800,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับงบประมาณขาดดุลปี 2568 ดังนั้นหากสามารถเพิ่มการจัดเก็บรายได้เป็น 18% ก็จะทำให้จัดทำงบประมาณสมดุลได้ จึงเป็นเรื่องท้าทายมากในการทำงานจากนี้ไป 

“ในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ถือว่ากระทรวงการคลัง ได้มีบทบาทฝ่าวิกฤตมาได้ ด้วยคนคลังคุณภาพ และอดีตปลัดทุกคน เพราะทุกคนยึดมั่นในหลักการความถูกต้อง ในช่วงโควิด ได้ออกเงินเยียวยาคนตกลงานคนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ถือเป็นเรื่องท้าทายมาก และเป็นโจทย์ยากมาก แต่กระทรวงการคลัง ก็สามารถทำได้และฝ่าวิกฤติมาได้ จ่ายผ่านระบบพร้อมเพย์ โดยไม่มีการทุจริตแต่อย่างใด ถือเป็นความภูมิใจของคนคลังมาก”