เปิดแผน 'คลัง' สู้วิกฤติเศรษฐกิจ เล็งเขย่างบปี 69 รับมือทรัมป์

"พิชัย" ชี้สงครามการค้าฉุดเศรษฐกิจไทยตกหลุมอากาศ 6 เดือน กระทบทั่วโลก คาดไตรมาสแรกจีดีพียังโต 2.5-3.0% จ่อเขย่างบปี 2569 โยกทำโครงการเร่งด่วนกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทบทวนดิจิทัลวอลเล็ต "สศค." หั่นจีดีพีปี 2568 เหลือ 2.1% รับพิษภาษีทรัมป์-เศรษฐกิจโลกชะลอ พร้อมชง 5 แนวทางรับมือ
ในวาระโอกาสคล้ายวันครบรอบสถาปนา 150 ปี กระทรวงการคลัง ได้มีการจัดงาน " MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย " ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 1-3 พ.ค.2568 ซึ่งมีหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง มาร่วมออกงาน พร้อมกับมีเวทีเสวนาถึงทิศทางเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "Global Transition: เศรษฐกิจไทยภายใต้จุดเปลี่ยน" ว่า การประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้สหรัฐ ทำให้โลกการค้าเสรีในปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยประเทศไทยจะแก้ไขเรื่องนี้ด้วยจุดแข็งด้วยการนำเข้าเพิ่มขึ้น และส่งออกเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินค้าเกษตรกรรมสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูป เช่น ข้าวโพด ปลาบางชนิด โดยจะต้องเป็นสินค้ามีราคาที่สามารถแข่งขันได้ รวมทั้งการนำเข้าสินค้าพลังงานเพิ่มขึ้น
"เชื่อว่าในที่สุดแล้วหลังการเจรจาเสร็จสิ้น หากสหรัฐกำหนดอัตราภาษีเสมอภาคกับประเทศคู่แข่ง ประเทศไทยก็จะไม่เสียเปรียบ ซึ่งเชื่อว่าข้อเสนอที่ไทยจะนำไปเจรจากับสหรัฐ จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี"
นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องภาษีเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และหลายประเทศกำลังดำเนินการอย่างเงียบๆ แต่มีการพูดคุยกันในระดับลึก เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า GDP ในไตรมาสแรกของปีนี้จะเกิน 2.5% และอาจใกล้เคียง 3% อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลกระทบจากความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก และจะต้องเตรียมมาตรการรองรับหากสถานการณ์เลวร้ายลง โดยจะเน้นการทบทวนงบประมาณที่มีอยู่ และหลีกเลี่ยงการสร้างหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น
เตรียมปรับงบปี 69 รับมือทรัมป์
ขณะนี้งบประมาณปี 2569 อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภา ซึ่งจะมีการหารือกับสภาเพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมของงบประมาณในแต่ละส่วน ให้มีการจัดสรรงบประมาณสำหรับสถานการณ์เร่งด่วน เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้คาดว่าจะต้องใช้เม็ดเงินขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่อาจมีการทบทวน โดยจะพิจารณาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ ยอดการขอบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท คิดเป็น 40-50% ของ GDP ซึ่งสะท้อนว่าไทยยังเป็นที่ต้องการลงทุน อย่างไรก็ดี การส่งเสริมการลงทุนหลังจากนี้ไปจะต้องเลือกมากขึ้น อุตสาหกรรมอนาคต รวมทั้งมีการผลิตห่วงโซ่ซัพพลายเชนในไทยด้วย
เสนอ ครม.ปรับคุณสู้เราช่วย
ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการแก้หนี้อย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาปรับปรุงมาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" ให้ครอบคลุมผู้มีหนี้สินมากขึ้น โดยกระทรวงการคลัง จะเสนอปรับเงื่อนไข และนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนมิ.ย.- ก.ค.นี้ จากเดิม 5,000 บาท เป็น 10,000 บาท และขยายเป็น 30,000 บาท เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการปรับปรุงหนี้ได้มากขึ้น
นายพิชัย กล่าวว่า คาดการณ์ว่า GDP ในไตรมาสแรกของปีนี้จะเกิน 2.5% และอาจใกล้เคียง 3% อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกใกล้ชิด โดยเฉพาะผลกระทบจากความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก และจะต้องเตรียมมาตรการรองรับหากสถานการณ์เลวร้ายลง โดยจะเน้นการทบทวนงบประมาณที่มีอยู่ และหลีกเลี่ยงการสร้างหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น
นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาลอยากเห็นสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่ำกว่า 80% โดยสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ณ เดือนมี.ค.68 คาดว่าสัดส่วนอยู่ที่ 86% ลดลงมาจากปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ระดับ 91%
ทั้งนี้ เพื่อให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนลดลงมานั้น ในช่วงเดือนมิ.ย.- ก.ค.2568 กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอปรับปรุงเกณฑ์ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนมิ.ย. - ก.ค.นี้ และออกมาตรการแก้หนี้เพิ่มเติมเพื่อดูแลลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารรัฐและ Non-Bank
เพิ่มวงเงินช่วยกลุ่มหนี้เสียเป็นหมื่นบาท
สำหรับการปรับปรุงเกณฑ์โครงการคุณสู้เราช่วย จะขยายวงเงินช่วยลูกหนี้เสีย กลุ่มที่มีมูลหนี้ 10,000 บาท ให้เข้ามาชำระหนี้ 10% และตัดปิดจบหนี้ได้เลย จากเดิมที่กำหนดลูกหนี้กลุ่มนี้ มูลหนี้ต้องไม่เกิน 5,000 บาท และขยายยอดมูลหนี้จาก 10,000 บาท เป็น 30,000 บาทด้วย
ส่วนหนี้เสียมูลหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาทนั้น เมื่อเข้าไปดูรายละเอียดแล้ว มีลูกหนี้ 3 ล้านคน แบ่งเป็นหนี้ 3 ส่วน จากแบงก์พาณิชย์ แบงก์รัฐ และ Non-Bank สำหรับแบงก์รัฐนั้น ธนาคารออมสินรายงานว่า ได้เตรียมโครงการแก้หนี้ให้กับลูกค้า คาดว่าจะช่วยลดหนี้ได้อีก 4 แสนราย
ขณะที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ช่วยแก้หนี้ให้เกษตรกรแล้ว 2.5 แสนราย และจะเดินหน้าช่วยเหลืออีก 6.7 หมื่นราย
ส่วนในการแก้หนี้แบงก์พาณิชย์นั้น มีมูลหนี้เพียง 1 หมื่นล้านบาท ด้านนอนแบงก์ มีมูลหนี้เสียประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้บัตรเครดิต และอิออน เราจะขอดูรายละเอียดมูลหนี้เหล่านี้ว่าเป็นหนี้เสียจากอะไรบ้าง และจะนำมาหาแนวทางดูแลแก้ไขรายต่อราย
"ถ้าเราทำกลุ่มนี้ได้จะช่วยแก้ไขหนี้เสียได้กว่า 3 ล้านราย จากจำนวนลูกหนี้ที่มีปัญหาอยู่ทั้งหมด 5.4 ล้านราย และจำนวนที่เหลือบางส่วนเราก็จะดูแลเพิ่มเติมต่อไป ด้านสัดส่วนหนี้เสียที่เกิน 1 แสนบาทขึ้นไปนั้น มีจำนวน 2 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมีหลักประกัน โดยการแก้ปัญหาที่สามารถดำเนินการได้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้"
สศค.หั่นจีดีพีปี 68 เหลือ 2.1%
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค. มีการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.1% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.6% ถึง 2.6%) ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อนในเดือนม.ค.2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.0% โดยสาเหตุหลักมาจากแรงกดดันด้านการค้าโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า
สำหรับผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยครั้งนี้อิงตามกรณีฐาน (Base Case) เป็นสำคัญ โดยมีสมมติฐานว่ารัฐบาลสหรัฐผ่อนปรนด้านนโยบายภาษีกับไทย และประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้ ในกรณีสูง (HighCase) มีสมมติฐานว่ารัฐบาลสหรัฐจะปรับลดภาษีนำเข้าของไทย และประเทศอื่น ซึ่งลดลงอยู่ที่อัตรา 10% จะส่งผลบวกให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานเป็น 2.5% (อยู่ในช่วงคาดการณ์ 2.0% ถึง 3.0%) โดยแรงส่งหลักมาจากการส่งออกที่ขยายตัวมากขึ้น และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวตามการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น
รวมทั้งกระทรวงการคลังจะมีการประเมินอีกครั้ง เมื่อสถานการณ์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.3% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ 1.8% ถึง 2.8%) ซึ่งได้รับผลกระทบทางตรงจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม การประกาศเลื่อนการบังคับใช้นโยบาย Reciprocal Tariff ออกไป 90 วัน นับจากวันที่ 9 เม.ย.2568 และการยกเว้นสินค้าบางประเภท เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องคอมพิวเตอร์ของสหรัฐ ได้ช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออกของไทยลงได้บางส่วน
คาดส่งออกปีนี้ขยายตัว 1%
ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้าคาดว่าจะทรงตัวที่ 1.0%ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ 0.5% ถึง 1.5%) สอดคล้องกับความต้องการวัตถุดิบเพื่อการผลิตเพื่อส่งออก และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ นโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐในระยะต่อไป ยังคงมีความไม่แน่นอน และมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของเศรษฐกิจไทย และประเทศคู่ค้าอย่างมีนัยสำคัญ จึงจำเป็นต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวดี โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.2% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.7% ถึง 3.7%) ตามกำลังซื้อในประเทศ และรายได้ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาจำนวน 36.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 2.7% ต่อปี การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 0.4% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ -0.1% ถึง 0.9%)
สำหรับการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.7% ถึง1.7%) และการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 2.8% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.3% ถึง 3.3%) จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานที่จะมีการเร่งรัดเบิกจ่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 – 4 ของปีงบประมาณ 2568 ต่อเนื่องไปยังไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2569
“สถานการณ์เศรษฐกิจไทยตั้งอยู่บนสถานการณ์การค้าโลกที่ยังไม่แน่นอน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยแรงสนับสนุนปัจจัยภายในประเทศ ทั้งการบริโภคภาคเอกชน การลงทุน และรายจ่ายรัฐบาล จะช่วยเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจได้”
ด้านเสถียรภาพภายในประเทศยังอยู่ในระดับมั่นคง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะลดลงอยู่ที่ 0.8% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.3% ถึง 1.3%) ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ลดลง ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มเกินดุล 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.2% ของ GDP จากดุลการค้าที่เกินดุลอย่างต่อเนื่อง
ยอมรับภาษีทรัมป์กดดันจีดีพีไทย
นายพรชัย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยผ่านทั้งทางตรง และทางอ้อม เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว กระทรวงการคลังได้เตรียมตัวรับมือ และบรรเทาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน 5 แนวทางสำคัญ ได้แก่
1.ดำเนินการเจรจากับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง 2.เตรียมแหล่งเงินเพื่อจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีขนาดเหมาะสม 3.เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงที่เหลือของปี 2568
4.ผลักดันความช่วยเหลือผู้ส่งออกผ่าน EXIM Bank และ 5.บูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ ในการดูแลกลุ่มเปราะบาง และกิจการขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบ
“การเตรียมแหล่งเงินสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมาจากการบริหารแหล่งเงินในปัจจุบันที่มีอยู่จากการจัดสรร พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 หรือแหล่งเงินกู้เพิ่มเติม ซึ่งยังอยู่ระหว่างการประเมินขนาดเม็ดเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์”
ทั้งนี้ สศค.ยังติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ได้แก่ นโยบายด้านภาษีของสหรัฐ และการตอบโต้ของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ การไหลเข้าของสินค้าที่ได้รับผลกระทบด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก การย้ายฐานการลงทุนการผลิต ความผันผวนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และปัญหาหนี้ครัวเรือนภาคธุรกิจที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต
“สถานการณ์สงครามการค้าโลกที่เกิดขึ้นเป็นวิกฤติภาคการส่งออก ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ลดการพึ่งพิงเศรษฐกิจ”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







