สศค. หั่น GDP ปี 68 เหลือ 2.1% รับพิษภาษีทรัมป์ ฉุดเศรษฐกิจโลกชะลอ

สศค. หั่น GDP ปี 68 เหลือ 2.1% รับพิษภาษีทรัมป์ ฉุดเศรษฐกิจโลกชะลอ

สศค. หั่นประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 เหลือ 2.1% จากเดิม 3.0% ผลจากพิษภาษีทรัมป์ ฉุดเศรษฐกิจโลกชะลอ พร้อมชง 5 แนวทางรับมือ

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค. มีการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.1% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.6% ถึง 2.6%) ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อนในเดือน ม.ค.2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.0% โดยสาเหตุหลักมาจากแรงกดดันด้านการค้าโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐและแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า

ผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยครั้งนี้อิงตามกรณีฐาน (Base Case) เป็นสำคัญ โดยมีสมมติฐานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีการผ่อนปรนด้านนโยบายภาษีกับประเทศไทยและประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ ในกรณีสูง (High Case) มีสมมติฐานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะมีการปรับลดภาษีนำเข้าของไทยและประเทศอื่น ๆ ซึ่งลดลงอยู่ที่อัตรา 10% จะส่งผลบวกให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานเป็น 2.5% (อยู่ในช่วงคาดการณ์ 2.0% ถึง 3.0%) โดยแรงส่งหลักมาจากการส่งออกที่ขยายตัวมากขึ้น และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวตามการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะมีการประเมินอีกครั้ง เมื่อสถานการณ์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.3% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ 1.8% ถึง 2.8%) ซึ่งได้รับผลกระทบทางตรงจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การประกาศเลื่อนการบังคับใช้นโยบาย Reciprocal Tariff ออกไป 90 วัน นับจากวันที่ 9 เม.ย. 2568 และการยกเว้นสินค้าบางประเภท เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องคอมพิวเตอร์ของสหรัฐฯ ได้ช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออกของไทยลงได้บางส่วน 

ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้าคาดว่าจะทรงตัวที่ 1.0% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ 0.5% ถึง 1.5%) สอดคล้องกับความต้องการวัตถุดิบเพื่อการผลิตเพื่อส่งออก และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ นโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ในระยะต่อไป ยังคงมีความไม่แน่นอนและมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของเศรษฐกิจไทยและประเทศคู่ค้าอย่างมีนัยสำคัญ จึงจำเป็นต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวดี โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.2% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.7% ถึง 3.7%) ตามกำลังซื้อในประเทศและรายได้ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาจำนวน 36.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 2.7% ต่อปี การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 0.4% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ -0.1% ถึง 0.9%) 

สำหรับการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.7% ถึง 1.7%) และการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 2.8% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.3% ถึง 3.3%) จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่จะมีการเร่งรัดเบิกจ่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 – 4 ของปีงบประมาณ 2568 ต่อเนื่องไปยังไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2569

"สถานการณ์เศรษฐกิจไทยตั้งอยู่บนสถานการณ์การค้าโลกที่ยังไม่แน่นอนและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยแรงสนับสนุนปัจจัยภายในประเทศ ทั้งการบริโภคภาคเอกชน การลงทุน และรายจ่ายรัฐบาล จะช่วยเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจได้"

ด้านเสถียรภาพภายในประเทศยังอยู่ในระดับมั่นคง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะลดลงอยู่ที่ 0.8% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.3% ถึง 1.3%) ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ลดลง ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มเกินดุล 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.2% ของ GDP จากดุลการค้าที่เกินดุลอย่างต่อเนื่อง

โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวทิ้งท้ายว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยผ่านทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว กระทรวงการคลังได้เตรียมตัวรับมือและบรรเทาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน 5 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1.ดำเนินการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง 2.เตรียมแหล่งเงินเพื่อจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีขนาดเหมาะสม 3.เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงที่เหลือของปี 2568 4.ผลักดันความช่วยเหลือผู้ส่งออกผ่าน EXIM Bank และ 5.บูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการดูแลกลุ่มเปราะบางและกิจการขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบ

"ทั้งนี้ การเตรียมแหล่งเงินสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะมาจากการบริหารแหล่งเงินในปัจจุบันที่มีอยู่ จากการจัดสรร พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 69 หรือแหล่งเงินกู้เพิ่มเติม ซึ่งยังอยู่ระหว่างการประเมินขนาดเม็ดเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์"

ทั้งนี้ สศค. ยังติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ได้แก่ นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ การไหลเข้าของสินค้าที่ได้รับผลกระทบด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก การย้ายฐานการลงทุน/การผลิต ความผันผวนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และปัญหาหนี้ครัวเรือน/ภาคธุรกิจที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต

"สถานการณ์สงครามการค้าโลกที่เกิดขึ้นเป็นวิกฤติภาคการส่งออก ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ลดการพึ่งพิงเศรษฐกิจ"