ไขข้อสงสัย! เงิน Claw Back กกพ. สามารถนำมาลดค่าไฟได้เมื่อไหร่?

ไขข้อสงสัย! เงิน Claw Back กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ที่สำนักงาน กกพ. นำมาช่วยลดค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2568 เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย สามารถนำมาใช้ได้เมื่อไหร่?
KEY
POINTS
- Claw Back ที่กกพ.เก็บไว้คือเงินที่มีการเรียกคืนเงินส่วนเกิน/ผลประโยชน์จากการไฟฟ้า (กฟผ., กฟน., กฟภ.) ที่มาจากการลงทุนไม่เป็นตามแผน หรือผลประโยชน์ที่เกินกว่าเกณฑ์
- สำนักงาน กกพ. ใช้เงิน Claw Back จาก 3 การไฟฟ้า จำนวน 12,200 ล้านบาท มาลดค่าไฟฟ้า Ft งวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 รวม 17 สตางค์ ทำให้ค่าไฟเรียกเก็บอยู่ที่ 3.98 บาท
- กกพ. พิจารณาใช้เงิน Claw Back ในเฉพาะช่วงวิกฤติและเมื่อมีความจำเป็น โดยครั้งนี้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ดีเท่าที่ควรและมีปัจจัยลบจากภายนอก และเพื่อเสริมความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพประชาชน ไม่กระทบต่อภาระหนี้สินของ กฟผ.
"Claw Back" โดยทั่วไปหมายถึง การเรียกคืนเงินหรือผลประโยชน์ที่เคยจ่ายหรือมอบให้ไปแล้ว ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างตามมา เช่น การพบว่ามีการทุจริต, การไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้, หรือผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ดังนั้น เงิน Claw Back จะดึงมาใช้ได้ ก็ต่อเมื่อกระบวนการเรียกคืนเงินนั้นเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว และเงินจำนวนดังกล่าวได้กลับมาอยู่ในการควบคุมของผู้มีสิทธิ์ เช่น หน่วยงานรัฐ, บริษัท, หรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง
สำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐหรือหน่วยงานราชการ จะมีกฎหมายและระเบียบที่กำหนดขั้นตอนและเงื่อนไขในการเรียกคืนและการนำเงินกลับมาใช้ เช่น พระราชบัญญัติการเรียกคืนทรัพย์สินที่เกิดจากการกระทำความผิด พ.ศ. 2551
ล่าสุด สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้นำเงิน Claw Back ที่มาจาก 3 การไฟฟ้า (กฟผ., กฟน., กฟภ.) ซึ่งมาจากการลงทุนที่ไม่เป็นไปตามแผน หรือผลประโยชน์ส่วนเกินที่เกิดขึ้น ซึ่งตามกฎหมาย กกพ. สามารถนำเงินส่วนนี้มาใช้เพื่อดูแลค่าไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจหรือมีผลกระทบต่อค่าครองชีพ จำนวน 12,200 ล้านบาท มาลดค่าไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟฟ้าลดลง 0.17 บาท
นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ด กกพ. ครั้งที่ 16/2568 (ครั้งที่ 958) เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ถึงการพิจารณาข้อเสนอการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (ค่า Ft) ประจำเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ทั้งนี้ ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดค่าไฟฟ้าตามเป้าหมายของค่าไฟฟ้าไว้ให้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย และมีมติให้ปรับค่า Ft จากเดิม 36.72 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 19.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงจาก 4.15 บาทต่อหน่วย เป็น 3.98 บาทต่อหน่วย หรือลดลงประมาณ 17 สตางค์ต่อหน่วยนั้น
โดยแนวทางการปรับลดค่าไฟในงวดพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 นั้น บอร์ด กกพ. ได้พิจารณาจากปัจจัย 2 ส่วนหลักด้วยกัน คือ
ส่วนที่ 1 ต้องการให้ค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสภาวะวิกฤติเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและลดภาระค่าครองชีพ
ส่วนที่ 2 จะต้องสามารถลดภาระทางการเงิน ภาระดอกเบี้ย ดูแลผลกระทบต่อเครดิตเรทติ้งของ กฟผ. ควบคู่กันไปด้วย
ดังนั้น ค่าไฟฟ้าในรอบ2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 กกพ. จึงเลือกแนวทางที่จะนำเงินที่ได้จากการเรียกคืนประโยชน์ส่วนเกินจากการไฟฟ้า หรือ คลอว์แบค (Claw Back) จำนวนประมาณ 12,200 ล้านบาท มาลดค่าไฟ โดยแนวทางนี้ กฟผ. ยังคงได้รับการชำระคืนค่าเชื้อเพลิงคงค้างใกล้เคียงจำนวนตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 20.33 สตางค์ต่อหน่วยหรือเป็นเงินรวม 14,590 ล้านบาท
นายพูลพัฒน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา สำนักงาน กกพ. ได้ตรวจสอบและรับรองจำนวนเงินที่ได้จากการเรียกคืนประโยชน์ส่วนเกินของการไฟฟ้า (Claw Back) มาได้ทั้งสิ้นประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยนำมาใช้ในการลดค่าไฟในงวดพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 จำนวน 12,200 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 7,800 ล้านบาท จะต้องสำรองไว้สำหรับการดูแลค่าไฟฟ้าในระยะต่อไป ซึ่ง กกพ. มองว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังคงผันผวนและมีความไม่แน่นอน
ทั้งนี้ ในการพิจารณาค่าไฟงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2568 เป็นไปตามมติ ครม. ที่กำหนดกรอบเป้าหมายค่าไฟหน่วยละ 3.99 บาท ภายใน 45 วัน โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐบาล ซึ่งการนำเงิน Claw Back มาพิจารณาทำให้ค่าไฟงวดใหม่อยู่ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย จากเป้าหมายรัฐบาล 3.99 บาทต่อหน่วย ลดลงกว่าเป้าหมาย
นายพูลพัฒน์ ตอบคำถามกรณีที่ว่าทำไมสำนักงาน กกพ. เพิ่งจะนำเงิน Claw Back มาใช้ลดค่าไฟฟ้าในงวดนี้ว่า เงิน Claw Back จะใช้ได้เมื่อบอร์ดพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นและวิกฤติเท่านั้น ดังนั้น เพื่อช่วยลดภาระประชาชนจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ จึงนำเงินก้อนดังกล่าวมาช่วยในสถานการณ์ที่ประเทศไทยยังมีเศรษฐกิจที่ไม่ดีเท่าที่ควร
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ขณะนี้ไทยเผชิญหลายปัจจัยลบทั้งในประเทศ และสงครามการค้ารอบใหม่ ดังนั้น มั่นใจว่าค่าไฟ 3.98 บาทต่อหน่วย จะช่วยให้ประชาชนได้ประโยชน์ 3 ด้านหลัง คือ 1.ความมั่นคง เสถียรภาพเศรษฐกิจ 2.ลดค่าครองชีพประชาชน ลดต้นทุนผลิต จากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังโดนกำแพงภาษี และ 3. ไม่กระทบภาระของ กฟผ.ที่ยังมีหนี้อยู่กว่า 7.1 หมื่นล้านบาท ให้ได้เงินคืนเท่าเดิม เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์ในปัจจุบันไปได้
"การใช้เงิน Claw Back ครั้งนี้เพิ่งได้รับการยืนยันถึงวงเงินสะสมที่ล่าสุด 20,000 ล้านบาท ภายหลังจากงวดกันยายน-ธันวาคม2567 หลังจากที่ สำนักงาน กกพ. ได้ประกาศค่าไฟ 4.15 บาทต่อหน่วยออกไป ของงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2568 ไปแล้ว ดังนั้น เมื่อครม.มีมติ ให้ทบทวนค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2568 ใหม่ให้เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย สำนักงาน กกพ. จึงนำเงิน Claw Back มาใช้ช่วยลดค่าไฟฟ้าในงวดใหม่นี้"
ดังนั้น ความจำเป็นในการใช้ Claw Back ของกกพ.จะดำเนินการเฉพาะช่วงวิกฤต อาทิ ช่วงโควิด เคยใช้ดำเนินการไปแล้วราว 20,000 ล้านบาท และครั้งนี้ใช้ 12,200 ล้านบาท ทำให้เหลืองเงินสุทธิ 7,800 ล้านบาท เพราะถือเป็นภาวะวิกฤติของประเทศเช่นกัน ทั้งเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว และผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ทำให้คาดการณ์ GDP ของประเทศลดลงต่อเนื่อง
นายพูลพัฒน์ ตอบคำถามว่า สาเหตุที่ทำไม สำนักงาน กกพ. ไม่ใช้เงิน Claw Back ทั้งหมด 20,000 ล้านบาท มาช่วยลดค่าไฟฟ้าทั้งหมดในทันทีเลยนั้น สำนักงาน กกพ. ต้องการเก็บเงินก้นถุงไว้ใช้ในเหตุที่จำเป็นและวิกฤติเท่านั้น เพราะอาจหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นอีกก็ได้
สำหรับแนวโน้มค่าไฟงวดปลายปี 2568 นี้ (กันยายน-ธันวาคม) อาจจะต้องรอดูสถานการณ์ต้นทุนเชื้อเพลิง อัตราค่าเงินและภาวะเศรษฐกิจอีกครั้ง รวมถึงการพิจารณาใช้ Claw Back ด้วย
ส่วนสถานการณ์ไฟดับในยุโรป พบว่า เนื่องจากอุณหภูมิสูงขึ้น และผลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยุโรปจึงใช้พลังงานทดแทน อาทิ ลม ทำให้เกิดความเปราะบางทางความมั่นคงพลังงาน แต่ไทยพึงก๊าซธรรมชาติกว่า4 0% เป็นฟอสซิลที่มีความมั่นคง ส่วนรีเสิร์ฟมาร์จิ้นของไทยมีปัจจุบันมีเพียงพอ 25% แต่ก็มาจากพลังงานหมุนเวึยนเช่นกัน ดังนั้นประเทศไทยต้องมีรีเสิร์ฟมาร์จิ้นที่เพียงพอและมั่นคงด้านพลังงาน
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เงิน claw back ดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่ กกพ. ซึ่ง กกพ.ไม่มีส่วนในกาาเก็บเงินก้อนดังกล่าว แต่อยู่ที่ 3 การไฟฟ้า ซึ่งเป็นตัวเลขจากการแจ้งมายังกกพ.เท่านั้นว่ามีเงินจำนวนนี้ โดย กฟผ. แจ้งมาว่ามีอยู่ 8,900 ล้านบาท ที่เหลืออีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท จึงอยู่ที่ กฟภ.และกฟน. จึงได้ดีงมาใช้หักลบลงมา 17 สตางค์
"ตนได้ถามบอร์ด กกพ. ไปว่า ทำไมไม่ลดลง 3.99 บาทต่อหน่วย คำตอบคือ การใช้เงิน 12,200 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่เหมาะสม โดยคิดง่าย ๆ 1 สตางค์จะใช้เงินราว 700 ล้านบาท ก่อนตัดสินใจใช้เงินก้อนนี้ บอร์ดได้ทบทวนหลายอย่างเพื่อให้รัดกุมที่สุด เพราะเงินก้อนนี้ถ้าไม่วิกฤติจริงๆ จะไม่สามารถใช้ได้เลย และเสี่ยงโดนข้อครหาด้วย แต่เนื่องจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จึงควรนำมาใช้ในครั้งนี้"
อ้างอิง : ประกาศคณะกรรมการกกกพ. เรื่องกรอบหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าพ.ศ 2564 ข้อ 34 (2)







