กกร. ร้องนายกฯ ทบทวนด่วน! นโยบาย Pool Gas ซ้ำเติมธุรกิจไทยทรุด

"กกร." ยื่นหนังสือนายกฯ 2 พ.ค. 68 ค้านโครงสร้าง Pool Gas ของ "พีระพันธุ์" ชี้ลดค่าไฟได้ไม่กี่สตางค์ ซ้ำเติมเอกชนในช่วงเศรษฐกิจโลกผันผวน แบกต้นทุน 3 หมื่นล้านต่อปีจ่อปิดโรงงาน วอนตั้ง กรอ.พลังงาน ร่วมแก้ไข
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธาน กกร. กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า วันที่ 2 พ.ค. 2568 เวลา 10.30 น. ผู้แทนคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะเข้ายื่นหนังสือถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อคัดค้านนโยบายโครงสร้าง Pool Gas เนื่องจากไม่เป็นธรรมกับทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ ในเรื่องการปรับโครงสร้าง Pool Gas ถือเป็นแนวคิดของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 6 พ.ค. 2568 จะมีการหารือในเรื่องดังกล่าว ซึ่งโดยปกติแล้วนายกฯ จะเป็นประธานการประชุมโดยตำแหน่ง ซึ่งในช่วงหลังมานี้ ได้มอบหมายให้ นายพีระพันธุ์ เป็นประธานแทน ดังนั้น กกร. จึงต้องการยื่นหนังสือขอให้นายกฯ ได้ทบทวนแนวคิดดังกล่าวก่อนวันประชุมกพช.
อย่างไรก็ตาม การที่กระทรวงพลังงาน อยากจะลดค่าไฟให้ภาคประชาชนถือเป็นเรื่องดี แต่แนวทางที่ทำไม่ตรงกับแนวทางที่ภาคเอกชนทั้ง 3 สถาบันรวมถึงคนส่วนใหญ่มอง ที่ควรจะแก้ปัญหาที่ตรงจุด ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยวิธีปรับโครงสร้าง Pool Gas เป็นการแค่โยกภาระมาให้ภาคอุตสาหกรรม โดยการนำเอาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมาผลิตไฟฟ้าเพื่อให้ต้นทุนถูกที่สุด เพราะมีราคาถูกและเสถียร
"สิ่งที่มีปัญหาในช่วงหลังมานี้ คือปริมาณก๊าซฯ ในอ่าวไทยลดลง จึงต้องนำเข้า LNG จากต่างประเทศ ซึ่งยังมีราคาสูงและผันผวน กระทรวงพลังงานจึงคิดที่จะสลับโดยนำก๊าซฯ ในอ่าวไทยมาผลิตไฟฟ้าแทน ซึ่งเอกชนมองว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะก๊าซฯ มีส่วนประกอบสำคัญในด้านปิโตรเคมีที่สามารถสร้างมูลค่านำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่า"
ทั้งนี้ เมื่อประเทศไทยได้ค้นพบก๊าซฯ ในอ่าวไทยเกิดธุรกิจปิโครเคมี คอมเพล็กซ์นำไทยสู่ฮับภูมิภาค เกิดเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศมหาศาล ซึ่งมาจากก๊าซฯ ในอ่าวไทยมีความอุดมสมบูรณ์สามารถมาสกัดส่วนสำคัญของภาคอุตสาหกรรมในยุคโชติช่วงชัชวาล แต่ในมุมมองปัจจุบันกลับบอกไม่ถูกต้อง ว่าควรนำก๊าซฯ มาใช้ให้คนทั่วไปเพื่อให้ลดต้นทุน และเมื่อคำนวณความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจแล้ว ปรากฏว่าลดค่าไฟได้ไม่กี่สตางค์
"ประเทศจะเสียต้นทุนต่างๆ อีกทั้ง ภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซฯ ต้องเพิ่มสัดส่วนต้นทุนที่เป็นภาระขึ้นไปอีก 60% หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ดังนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงไม่แน่นอน เกิดความผันผวนด้านสงครามการค้า และนโยบายภาษีสหรัฐฯ ส่งผลให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศที่หลายอย่างสู้ไม่ได้ เพราะต้นทุนไทยยังแพงมาก"
ทั้งนี้ พลังงานถือเป็นต้นทุนใหญ่จะกระทบกับโรงงานที่ใช้ก๊าซฯ แน่นอน สุดท้ายจะได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าเราได้มีข้อเสนอมาโดยตลอด คือ การตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาพลังงาน (กรอ.พลังงาน) เพื่อหารือเสนอแนะเพื่อให้เห็นปัญหาที่ตรงจุด ซึ่ง กกร. ในฐานะผู้ประกอบการเอกชนจะประสบปัญหาด้านการแข่งขัน จึงอยากให้ทบทวน และร่วมหารือกับภาคเอกชนไม่ใช่การใช้วิธีแบบนี้และเกิดการคัดค้านเพราะต่างคนต่างทำ ควรมีวิธีที่หารือเพื่อให้สอดคล้องระหว่างกัน
"ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจโลกเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง ขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศก็ลดลงเรื่อยๆ เพราะต้นทุน ปัญหาแรงงาน ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ในเวลาเช่นนี้ไม่ควร การลดค่าไฟให้ประชาชนและภาคอุตสาหกรรม"
ทั้งนี้ ขีดความสามารถด้านการแข่งขันไทยในด้านต้นทุนพลังงาน สิ่งที่เอกชนเสนอแนะมาตลอด จะเห็นว่าค่าไฟเวียดนามอบู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย ส่วนอินโดนีเซีย ราว 3 บาทต่อหน่วย ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ระดับกว่า 4 บาทต่อหน่วย การแก้ปัญหาวิธีนี้ ยิ่งเพิ่มภาระให้โรงงานขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานจากส่วนผสมของก๊าซฯ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ถ้าต้นทุนเพิ่มขึ้นไปอีก 60% จะเป็นการซ้ำเติมภาคอุตสาหกรรมที่เป็นผู้ผลิตสินค้าและส่งออกของไทยต้องปิดตัวลง ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ กกร. เห็นจึงยื่นหนังสือเพื่อให้ทบทวนแนวทางดังกล่าว
สำหรับข้อเสนอแนะของกกร. ประกอบด้วย 1. ศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อลดผลกระทบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุลตลอดห่วงโซ่อุปทาน พิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของโครงสร้างพลังงานอย่างเหมาะสมและยั่งยืนมากกว่าการแก้ไข ปัญหาที่ปลายเหตุ
2. ราคาที่นำมาปรับใช้ ควรเริ่มต้นที่ราคา Single Pool Gas ให้เหมือนกันทุกภาคส่วน และกำหนดวิธีกำกับราคาเพิ่มเติมให้ภาคอุตสาหกรรม เช่น กำหนดสูตรโครงสร้างราคาที่มีการควบคุมปริมาณการใช้ด้วย MDCQ หรือ ปริมาณการใช้ก๊าซฯ เฉลี่ยต่อวัน คือ เฉพาะปริมาณที่ใช้เกินกว่า MDCQ ให้ใช้ราคา LNG นำเข้า เพื่อลดปริมาณการนำเข้า LNG หรือกำกับราคาแบบที่มีการกำหนดราคาขั้นต่ำที่เหมาะสมในการซื้อขายก๊าซฯ
3. ภาคอุตสาหกรรมควรได้รับสิทธิในการใช้ก๊าซฯ จากอ่าวไทยอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เนื่องจากก๊าซฯ เป็นทรัพยากรภายในประเทศไทยที่เป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคนและทุกภาคส่วน
4. รณรงค์ประหยัดพลังงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย และให้ความช่วยเหลือประชาชนเฉพาะกลุ่มเปราะบาง รวมถึงให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนในกลุ่มเปราะบางด้วยวิธีการอื่นที่เหมาะสม แทนการผลักภาระให้ภาคใดภาคหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนี้เกิดขึ้นจากการที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชนตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ตามที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ โดยกำหนดราคาเป้าหมาย สำหรับค่าไฟเดือน พฤษภาคม - สิงหาคม 2568 ไม่เกินหน่วยละ 3.99 บาท เป็นราคาเป้าหมาย
ซึ่งล่าสุดการประชุมคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังาน (สำนักงาน กกพ.) วันที่ 30 เม.ย. 2568 มีมติอนุมัติการใช้เงินที่ได้จากการเรียกคืนประโยชน์ส่วนเกินจากการไฟฟ้า หรือ คลอว์แบค (Claw Back) จำนวนประมาณ 12,200 ล้านบาท มาลดค่าไฟฟ้างวดดังกล่าวลง 17 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมที่มีมติเรียกเก็บ 4.15 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วยทันที
อย่างไรก็ตาม ในแนวทางการแก้ปัญหาค่าไฟของกระทรวงพลังงาน แบ่งเป็น 1. ให้หาแนวทางแก้ไขปัญหาสัญญารับซื้อไฟฟ้า ในรูปแบบส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (แอดเดอร์) และ Feed-in-tariff (FIT) และเงื่อนไขที่กำหนดให้สัญญาดังกล่าวมีอายุสัญญาต่อเนื่องโดยไม่มีกำหนดวันสิ้นสุดสัญญา
2.ให้หาแนวทางแก้ไขปัญหา ค่าความพร้อมจ่าย (AP) และค่าพลังงาน (EP) รวมทั้งเงื่อนไขข้อตกลงอื่นในสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน (IPP) ตามสัญญารับซื้อไฟฟ้าระยะยาว (PPA) ทุกสัญญาที่มีเงื่อนไขทำให้กฟผ. หรือรัฐเสียเปรียบ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเกินสมควร หรือสูงเกินความเป็นจริง
3.ให้หาแนวทางแก้ไขปัญหา อุปสรรคในข้อตกลงในสัญญารับซื้อไฟฟ้าต่างๆ ที่ทำให้ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (SO) ไม่สามารถบริหารจัดการ การสั่งผลิตไฟฟ้า ให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.ลดต่ำลงได้
4. การให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ศึกษาและเสนอแนวทางปรับโครงสร้างระบบก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) เพื่อให้ราคาก๊าซสำหรับใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนมีราคาต่ำลงลง โดยให้ดำเนินการให้ทันการประกาศราคาไฟฟ้า สำหรับรอบเดือนก.ย.-ธ.ค. 2568 สำหรับ Pool Gas ถือเป็นราคาที่เฉลี่ยของก๊าซธรรมชาติจาก 3 แหล่ง คือ1. อ่าวไทย 50% ซึ่งมีราคาถูกที่สุด 2. เมียนมา 10% และที่เหลือ คือ 3. การนำเข้า LNG ซึ่งมีราคาแพงสุด







