อาเซียนโหมแข่งดึงการลงทุน“บีโอไอ”ปรับทัพรับโจทย์โลกเปลี่ยน

อาเซียนโหมแข่งดึงการลงทุน“บีโอไอ”ปรับทัพรับโจทย์โลกเปลี่ยน

การลงทุนเป็นรากฐานของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจซึ่งในปี 2568 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆ พบว่าอาเซียนยังเป็นแหล่งการลงทุนที่สำคัญของโลก

ทั้งในบริบทการลงทุนภายในภูมิภาคและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ข้อมูลจาก รายงาน ASEAN Investment Report 2024 : ASEAN Economic Community 2025 and Foreign Direct Investment จัดทำโดย สำนักงานเลขาธิการอาเซียน สาระส่วนหนึ่ง ระบุว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC 2025 นั้นประเทศสมาชิกอาเซียนได้นำมาตรการนโยบายการลงทุนใหม่ๆมาใช้รวมกันถึง 149 มาตรการ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงกว่าในช่วงก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

โดยมาตรการเหล่านี้มากกว่า 90% เน้นไปที่การเอื้อประโยชน์ให้นักลงทุน ซึ่งแนวโน้มที่มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 77% และพบว่ามีสัดส่วนเกือย40% เป็นมาตรการผ่อนปรนข้อจำกัดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือข้อจำกัดการเป็นเจ้าของ

“ ในช่วง AEC 2025 อาเซียนและประเทศสมาชิกได้ลงนาม ยกระดับ และขยายสนธิสัญญาการลงทุนและข้อตกลงการค้าเสรีที่มีบทเกี่ยวกับการลงทุน ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศได้เพิ่มสนธิสัญญาการลงทุนทวิภาคี 42 ฉบับจากเดิมที่มีอยู่กว่า400 ฉบับ ส่วนในระดับภูมิภาค ได้มีการสรุปข้อตกลงกับคู่เจรจา 5 ฉบับ การดำเนินการตามข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมระดับภูมิภาคดังกล่าวนี้ทำให้อาเซียนมีความน่าดึงดูดใจสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น”

ข้อตกลงเหล่านี้ร่วมกันช่วยให้ภูมิภาคนี้บรรลุวัตถุประสงค์การผลักดันสู่ “อาเซียนระดับโลก” แม้ว่าความคืบหน้าในการดำเนินการ ตามแผนงาน AEC 2025 เป็นอยู่ที่ 96% ก็ตาม แต่สภาพแวดล้อมของนโยบายการลงทุนของประเทศสมาชิกต่างๆได้เสริมสร้างขึ้นให้สภาพแวดล้อมภูมิภาคนี้น่าลงทุนได้ตามเป้าหมาย แม้ยังคงมีช่องว่างเช่นเรื่องความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยในการลดข้อสงวน การลดอุปสรรคด้านการลงทุน เป็นต้น

สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ 10 อันดับแรกมาจากการลงทุนFDI  คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ในช่วง AEC 2025 การลงทุนจากคู่เจรจาสำคัญ ได้แก่ สหรัฐ จีน และสหภาพยุโรป ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

โดย FDI จากสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในช่วง AEC 2025 หลักๆเป็นการลงทุนด้านการเงินและการผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และไฮเทค 

ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากจีนพุ่งสูงขึ้น ในภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าในช่วง AEC 2025 ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจีนในภูมิทัศน์อุตสาหกรรมของอาเซียน

อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของการลงทุนภายในอาเซียนได้ชะลอตัวลง โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นอยู่ที่ ติดลบ 2.3% ในช่วง AEC 2025 เมื่อเทียบกับ 12.5% ​​ในช่วง AEC 2015 สัดส่วนของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศภายในภูมิภาคทั้งหมดยังคงทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 14% ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของภูมิภาคในการดึงดูดการลงทุนจากนอกภูมิภาค 

“อาเซียนเป็นที่ตั้งของบริษัทในเครือมากกว่า 80% ของบริษัทในรายชื่อ Fortune 500 ของโลก และ MNE มากกว่า 5,000 แห่งดำเนินการสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคในภูมิภาค เครือข่ายระดับภูมิภาคของ MNE เป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนสนับสนุนการบูรณาการห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมส่งออกหลักในภูมิภาค”

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในทศวรรษหน้าจนถึงปี 2035 นั้นมีแนวโน้มดี การไหลเข้าของเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในภูมิภาคอาจสูงเกินค่าเฉลี่ยรายปีมากกว่า 300 พันล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2567–2573

สำหรับประเทศไทยหน่วยงานด้านการลงทุนที่สำคัญกำลังขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า  ในส่วนของนโยบายส่งเสริมการลงทุน ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือเพิ่มเติมกับฝ่ายต่าง ๆ เพื่อเตรียมเสนอบอร์ดปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปและสามารถตอบโจทย์ทิศทางใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงานที่มีคุณค่าสูง การส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีการร่วมทุน การใช้วัตถุดิบในประเทศ การรักษาระดับการแข่งขันให้เหมาะสม รวมทั้งการปกป้องอุตสาหกรรมบางประเภทที่ผู้ประกอบการไทยมีความเปราะบาง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนที่ไม่ได้มีเพียงเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศ แต่ยังจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยและคนไทยได้อย่างแท้จริง

แนวโน้มการลงทุนในไทยในปี 2568 ยังเติบโตสูง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรก มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านจำนวนโครงการและเงินลงทุน ในส่วนของตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน มีจำนวน 822 โครงการ เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 431,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของประเทศไทย

      กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูง ได้แก่ ดิจิทัล 94,735 ล้านบาท (40 โครงการ) อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 87,814 ล้านบาท (122 โครงการ) ยานยนต์และชิ้นส่วน 23,499 ล้านบาท (72 โครงการ) การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 17,517 ล้านบาท (102 โครงการ) ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 13,942 ล้านบาท (81 โครงการ) เกษตรและแปรรูปอาหาร 12,719 ล้านบาท (61 โครงการ) การท่องเที่ยว 9,261 ล้านบาท (10 โครงการ) และการแพทย์ 8,034 ล้านบาท (25 โครงการ)

สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 618 โครงการ เพิ่มขึ้น 43% เงินลงทุนรวม 267,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62%

โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง 135,159 ล้านบาท จีน 47,308 ล้านบาท สิงคโปร์ 38,075 ล้านบาท ญี่ปุ่น 25,111 ล้านบาท ไต้หวัน 4,756 ล้านบาท เนเธอร์แลนด์ 2,142 ล้านบาท มาเลเซีย 1,919 ล้านบาท ไอร์แลนด์ 1,628 ล้านบาท ฝรั่งเศส 1,531 ล้านบาท นอร์เวย์ 1,418ล้านบาท ตามลำดับ

“สถิติการลงทุนในไตรมาสแรกแสดงให้เห็นถึงโมเมนตัมของการลงทุนในประเทศไทยที่ยังมีอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่จากนี้ไปนโยบายภาษีของสหรัฐ การแบ่งขั้วและการกีดกันทางเทคโนโลยีของประเทศมหาอำนาจ จะทำให้ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งจากสหรัฐจีนและคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียนประเทศไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ให้ได้รับโอกาสสูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกในครั้งนี้”

ในด้านพื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกมีมูลค่า 246,555 ล้านบาท จาก 444 โครงการ รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 152,525 ล้านบาท ภาคใต้ 17,256 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5,551 ล้านบาท ภาคตะวันตก 3,980 ล้านบาท และภาคเหนือ 2,930 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้ การขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม(Smart และ Sustainable Industry) ซึ่งเป็นการลงทุนปรับปรุงกิจการเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีผู้ให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสแรก ปี 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 82 โครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 5,548 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต และการนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาใช้ในกิจการ

สำหรับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในไตรมาสแรกของปี 2568 มีจำนวน 776 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 582,225 ล้านบาท โดยประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติเหล่านี้ คาดว่าจะมีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 1.9 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43% ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด เกิดการจ้างงานคนไทยประมาณ 60,000 ตำแหน่ง และทำให้มูลค่าส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 3.9 แสนล้านบาท/ปี ขณะที่การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุดมีจำนวน 660 โครงการ เงินลงทุนรวม 236,778 ล้านบาท

อาเซียนโหมแข่งดึงการลงทุน“บีโอไอ”ปรับทัพรับโจทย์โลกเปลี่ยน