นวัตกรรมขนส่งข้ามแดน“ไทย-ลาว” เครือข่ายเศรษฐกิจโตไร้รอยต่อ

คมนาคม ลุยทุกโปรเจกต์ พื้นที่อีสานตอนบน2 เสริมแกร่งเศรษฐกิจภูธร เตรียมประสาน สปป.ลาว ร่วมสร้างโอกาสให้ประชาชน ด้านศูนย์ขนส่งชายแดน นครพนม คืบหน้าแล้ว 95%
เมื่อปี 2567 การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ตามข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า มีมูลค่าการค้ารวม 976,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% เป็นการส่งออก 602,132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% การนำเข้า 374,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% และไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 227,343 ล้านบาท โดยด่านที่ติดกับสปป.ลาว มีมูลค่าการค้าสูงเป็นลำดับที่ 2 อยู่ที่ 286,775 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 10.1% ในโอกาสที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) กำหนดจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2568 ณ จังหวัดนครพนม
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยลงพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร) เพื่อติดตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมขนส่ง ว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมขนส่ง ในส่วนของโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 223 ตอนอำเภอนาแก - บ้านต้อง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ของกรมทางหลวง (ทล.) เป็นทางหลวงในแนวตะวันตก - ตะวันออก เชื่อมต่อจังหวัดสกลนคร - จังหวัดนครพนม ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร - สะหวันนะเขต) และแห่งที่ 3 (นครพนม - คำม่วน) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง จึงได้มอบหมายให้ ทล. เร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้โดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ให้สามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2570
เปิดใช้ถนนเลียบแม่น้ำโขงได้ปี70
สำหรับโครงการก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขงนาคาวิถี ช่วงสะพานมิตรภาพไทย - ลาว (แห่งที่ 2) - พระธาตุพนม ของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ซึ่งเป็นการยกระดับถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชุมวิวทิวทัศน์เลียบริมฝั่งแม่น้ำโขง ได้มอบหมายให้ ทช. กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด สามารถเปิดให้บริการในปี 2570 กรณีประสบปัญหาในการดำเนินการ ให้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมกันแก้ไขปัญหา ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการ
ขณะที่โครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่ บ้านไผ่ - นครพนม ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพการขนส่งทางรางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบพื้นที่โดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผน เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการในปี 2570
“ การพัฒนาข้างต้นจะเป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือนตอนบนที่สามารถเชื่อมโยงไปยัง สปป.ลาว ประเทศเวียดนาม และภาคใต้ของประเทศจีน ที่ไม่เพียงแต่สนองนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ยังส่งเสริมการเป็นประตูการค้าสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ”
ส่งผู้รับเหมาไทยร่วมปรับปรุงถนนR12
สำหรับโครงการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก - จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป.ลาว (โครงการ R12) ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว แล้วนั้น โดยจากการหารือได้ขอความร่วมมือให้ สปป.ลาวใช้ผู้รับเหมาไทย เพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่องและรวดเร็ว ซึ่งโครงการดังกล่าวเมื่อเสร็จสิ้นแล้วจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างมาก
นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือกับกระทรวงต่างประเทศในการหารือกับ สปป.ลาว เพื่อหาแนวทางในการสร้างโอกาสให้กับประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะภาคคมนาคมทางอากาศ ซึ่งจะสนับสนุนให้มีสายการบินราคาประหยัด (Low cost) ร่วมเสริมสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะใช้ประโยชน์พื้นที่สนามบินสะหวันนะเขต เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้ง 2 ประเทศต่อไป
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวภายหลังเดินทางไปตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม โดยได้ลงพื้นที่ก่อสร้าง 2 จุด ได้แก่ พื้นที่เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ (Seamless logistics) กับระบบราง และพื้นที่ตรวจปล่อยสินค้าร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ (CCA) พร้อมรับฟังรายงานสรุปการดำเนินงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแผนงานที่กำหนดไว้ มีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ในการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางถนนกับระบบรางเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ของกระทรวงคมนาคม
ปรับรับเปลี่ยนรูปแบบขนส่งสู่ระบบราง
โดย ขบ. ได้ดำเนินโครงการในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership: PPP) ถือเป็นหนึ่งในโครงการนำร่องพัฒนาสถานีขนส่งสินค้า (Truck Terminal) ในส่วนภูมิภาค เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าทางถนนระหว่างประเทศบนเส้นทาง สาย R12 เชื่อมต่อการขนส่งระหว่างไทย - สปป.ลาว - เวียดนาม - จีนตอนใต้ (นครหนานหนิง) และรองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งกับระบบราง (Modal Shift) ผ่านแนวการพัฒนาโครงการรถไฟทางคู่ สายบ้านไผ่ - นครพนม ของ รฟท.
นอกจากนี้ ภายในโครงการยังมีพื้นที่รองรับการปฏิบัติงานของหน่วยงานตรวจปล่อยสินค้า (Customs, Immigrations and Quarantines: CIQ) ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เพื่อดำเนินพิธีการเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกได้อย่างครบวงจรในจุดเดียว สำหรับภาพรวมการก่อสร้างล่าสุดมีความคืบหน้าแล้วกว่า 95%
ปัจจุบัน ขบ. อยู่ระหว่างก่อสร้างส่วนที่ภาครัฐรับผิดชอบ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางและอาคารที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนมิถุนายน 2568 ในส่วนของบริษัทผู้ร่วมลงทุนได้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างงานในระยะที่ 1 ซึ่งเป็นส่วนอาคารที่ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ได้แก่ อาคารคลังสินค้า และอาคารรวบรวมและกระจายสินค้า
ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการติดตั้งเครื่องมือและระบบสำหรับการบริหารจัดการ โดยตามเงื่อนไขของสัญญาร่วมลงทุน ผู้ร่วมลงทุนจะต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) รวมทั้งเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้ และมีหน้าที่จ่ายค่าสัมปทานให้แก่ภาครัฐ ตามรูปแบบการร่วมลงทุนแบบ PPP Net Cost ตลอดระยะเวลา 30 ปี (2568 - 2597) นับจากปีเปิดให้บริการ ทั้งนี้ หากโครงการแล้วเสร็จจะช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดต้นทุนโลจิสติกส์ให้กับผู้ประกอบการขนส่งและในภาพรวมด้านเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังช่วยผลักดันให้จังหวัดนครพนมก้าวเป็น “ศูนย์กลางทางด้านการขนส่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน”







