หนี้นอกระบบ! ทุบ SME ไทย สมาพันธ์ฯ ชูโมเดล 'เกาหลี-ยุโรป' ทางรอด

หนี้นอกระบบ! ทุบ SME ไทย สมาพันธ์ฯ ชูโมเดล 'เกาหลี-ยุโรป' ทางรอด

"สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย" มองภาษีสหรัฐทุบเอสเอ็มอีไทย เหตุพึ่งพาตลาดส่งออกสูง ชี้ "เงินทุนสีเขียว-ESG" ทางรอด วอนรัฐเร่งบทบาทที่ปรึกษาและแหล่งเงินทุน แก้หนี้นอกระบบ วางเป็นวาระแห่งชาติ

KEY

POINTS

  • เอสเอ็มอีไทย ส่วนใหญ่ยังขาดความพร้อมด้าน ESG มีเพียง 5% เท่านั้นที่ทำ และ 10% ที่มีแผน โดยปัญหาหลัก คือการขาดองค์ความรู้และเงินทุน
  • ประเทศไทยมีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง โดยเอสเอ็มอีส่งออก 20% มีมูลค่า 7,600 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเอสเอ็มอี 3,700 ราย ใน 12 กลุ่มเสี่ยงได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์
  • รัฐบาลต้องมีบทบาทเป็นที่ปรึกษาและพี่เลี้ยง เช่น การจัดการขยะ, พลังงานสีเขียว สถาบันการเงินภาครัฐและเอกชนต้องเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการและเกษตรกร สร้างระบบนิเวศน์ แก้กับดักหนี้-คน-ทุน บังคับใช้กฎหมาย และลดอุปสรรค

นโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศไว้ กำลังสร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าศุลกากร ที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางของไทย

ทั้งนี้ ประเทศไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลัก ด้วยสัดส่วนที่สูงราว 17-18% ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีนี้จึงเป็นเสมือนระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ และอาจสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง  

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวในเวทีสัมมนา "Sustain Daily Talk 2025" หัวข้อ "Sustainable Green Finance โอกาส และความท้าทาย" เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2568 จัดโดย "เดลินิวส์" ว่า หนึ่งในนโยบายที่สมาพันธ์ฯ ให้ความสำคัญ คือ การส่งเสริมให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึงการเงินสีเขียว หรือ การเงินทุนที่นำไปสู่ความยั่งยืน โดยธรรมาภิบาลเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการทำธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม 

อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมา สมาพันธ์ฯ ได้ทำโครงการร่วมกับสถาบันทางการเงินต่างๆ อาทิ ธนาคารออมสิน โดยช่วยให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึงเงินทุนมากกว่า 3,000  ล้านบาท รวมถึงธนาคารอื่นๆ เพื่อให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เร็วขึ้น รวมถึงการพัฒนาเอสเอ็มอีสีเขียวและแรงงานสีเขียว ที่ปัจจุบันมีเอสเอ็มอีไม่ถึง 10% ที่มีการสนับสนุนพัฒนาทักษะแรงงานสีเขียว

นายแสงชัย กล่าวว่า สำหรับนโยบายทรัมป์2.0 ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ของการขึ้นภาษีนำเข้าศุลกากรของประเทศต่างๆ นั้น ปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ถึง 18% ของตลาดส่งออกทั้งหมด หากมองเฉพาะเอสเอ็มอี คิดเป็น 20% หรือมีมูลค่า 7,600 ล้านดอลลาร์ โดยมี 12 กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 3,700 ราย มูลค่าประเมินจำนวน 5,000 ล้านดอลลาร์ 

ทั้งนี้ จากจำนวนตัวเลขเกินครึ่งหนึ่งที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ถือว่าเอสเอ็มอีไทยได้รับผลกระทบทางตรง เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่ได้สนใจเรื่องของสิ่งแวดล้อมและไม่ให้ความร่วมมือ แต่สิ่งที่เห็นชัดเจน คือ ประเทศจีนมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของการลดคาร์บอน และการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม

นายแสงชัย กล่าวต่อว่า สิ่งที่เอสเอ็มอีไทยต้องมาถอดบทเรียน เช่น เกาหลีใต้ ที่มีการทำเรื่อง ESG โดยเฉพาะสำหรับเอสเอ็มอี แต่ประเทศไทยยังมีน้อยมาก อีกทั้งเมื่อได้มีการสำรวจเอสเอ็มอีในเรื่องของ ESG มี เพียงไม่ถึง 5% ที่ทำและไม่ถึง 10% ที่มีแผนในการปรับตัว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเอสเอ็มอีที่ส่วนใหญ่กำลังตัดสินใจที่จะทำเรื่อง ESG ก็จะต้องรอด้านเงินทุนอีก  

นอกจากนี้ ส่วนกลุ่มที่ไม่มีแผนการปรับตัวด้านธุรกิจสีเขียวเลย คือขาดความพร้อมในด้านบุคลากร การเงิน เพื่อก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยี เพราะเรื่องแรกที่เอสเอ็มอีอยากได้ คือ องค์ความรู้ ดังนั้น รัฐบาลจะต้องมีบทบาทสำคัญต่อการทำธุรกิจของเอสเอ็มอี เพื่อเป็นที่ปรึกษา พี่เลี้ยง เช่น การจัดการขยะ พลังงานไฟฟ้าสีเขียว และด้านสังคม ต้องมีผู้รู้เข้ามาช่วยสนับสนุน 

ส่วนเรื่องที่ สอง คือ เรื่องของเงินทุนในการปรับตัวเพื่อให้ต้นทุนต่ำ ปัจจุบันนี้สถาบันทางการเงินของรัฐบาล ส่วนใหญ่เอสเอ็มอีก็ได้ใช้บริการอยู่แล้วในการเปลี่ยนแปลง แต่จะทำอย่างไรให้สถานบันการเงินทั้งรัฐและเอกชนสามารถเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการและเกษตรกรเพื่อให้เดินไปด้วยกัน เพราะหากเอสเอ็มอีโต สถาบันการเงินก็จะโตไปด้วย

ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ทุกวันนี้เอสเอ็มอี ส่วนใหญ่หันไปกู้เงินนอกระบบเยอะมากขึ้น และมีการกู้เงินในรูปแบบไฮบริด โดยกู้ใช้ทั้งเงินในระบบและนอกระบบ ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนได้อย่างไร เช่น การทำให้เอสเอ็มอีเข้ามาใช้เงินสินเชื่อในระบบให้มากที่สุด  เพื่อให้เอสเอ็มอีเกิดภูมิคุ้มกัน  และมีการใช้เงินและวางแผนสินเชื่ออย่างรอบครอบที่สุด 

ขณะเดียวกันต้องทำอย่างต่างประเทศ เช่น ยุโรป ที่ทำกฎระเบียนให้ง่ายขึ้น ทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย ยกระดับแรงงานสีเขียว หรือแบบเกาหลีใต้ ที่มีการจัดตั้งหน่วยงานที่ปรึกษาสำหรับเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ และต้องสร้างระบบนิเวศน์ แก้กับดักหนี้ กับดักคน กับดักทุน การบังคับใช้กฎหมายที่เข้ม ลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชนต้องทำงานสอดรับประสานกัน เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ทำธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน