“มูดี้ส์” เตือนวิกฤตกดดัน การคลังไทย เอกชน แนะเร่งปรับโครงสร้างศก.

“มูดี้ส์” ปรับมุมมองไทยเป็น Negative Outlook จากปัจจัยเสี่ยงสงครามการค้า คงเรตติ้ง Baa1 สบน.ยืนยันรัฐบาลปฏิรูปโครงสร้างภาษีสร้างสมดุลการคลังระยะปานกลาง “ทีดีอาร์ไอ” ชี้สะท้อนสัญญาณเตือนความเสี่ยง เสนอลดใช้นโยบายประชานิยม
มูดี้ส์ รายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ Baa1 และปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ Negative Outlook จาก Stable จากปัจจัยความเสี่ยงภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการค้าและการเติบโตเศรษฐกิจโลกและระดับภูมิภาค รวมถึงกระทบทางอ้อมยังเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ารวมถึงไทย ซึ่งเป็นปัจจัยเหนือการควบคุมของรัฐบาลไทย
ทั้งนี้ แม้ประเมินระยะเวลาและความรุนแรงไม่ได้ชัดเจน แต่ความไม่แน่นอนกระทบศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกที่ลดอัตราการเจริญเติบโตปี 2568 จาก 3.3% เป็น 2.8% ซึ่งไม่เพียงแต่ไทยที่ได้รับ Negative Outlook จากปัจจัยดังกล่าวแต่มีประเทศอื่นถูกปรับ Outlook เช่นกัน
สำหรับประเทศอื่นที่ถูกลดมุมมองก่อนหน้านี้ช่วงปี 2566-2567 เป็นผลจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งด้านการค้า สะท้อนแนวโน้มความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
โดย Moody’s มีความเห็นเกี่ยวกับฐานะการเงินต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจไทย ภาคการคลัง และความท้าทายเชิงโครงสร้างของประเทศไทย ดังนี้
1.ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance): ประเทศไทยยังคงมีฐานะการเงินต่างประเทศ ที่แข็งแกร่งและมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง (ณ เดือนมีนาคม 2568 มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 215,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
2.เสถียรภาพทางการเงิน (Financial Stability) โครงสร้างสถาบันและธรรมาภิบาลของไทยแข็งแกร่ง ซึ่งสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจมหภาคมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ และไทยมีประวัติความสำเร็จในการควบคุมเงินเฟ้อระดับต่ำและมีเสถียรภาพต่อเนื่อง อีกทั้งบริหารหนี้ให้อยู่ในระดับที่รับได้ แม้ว่าภาระหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19
นอกจากนี้ไทยมีตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ในประเทศที่พร้อมรองรับการระดมทุนของภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมีหนี้สาธารณะ ส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาท และมีอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ค่อนข้างยาว ซึ่งถือเป็นโครงสร้างหนี้ที่เอื้อต่อการบริหารจัดการภาระหนี้
3.ภาวะเศรษฐกิจไทย (Economic Condition): การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทยยังช้ากว่าประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกัน (Peers) นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19
รวมทั้งเศรษฐกิจไทยมีความอ่อนไหวต่อการรองรับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ (Economic Shock) อาทิ การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนในระดับสูง
4.ภาคการคลัง (Fiscal Position) แม้รัฐบาลไทยมีนโยบายการคลังแบบขาดดุลต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ แต่การประกาศภาษีศุลกากรและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐกระทบการค้าโลก และกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทย
สถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้การเข้าสู่ความสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ของไทยล่าช้ากว่าที่คาดไว้ในกรอบวินัยการคลังระยะปานกลาง
5.ความท้าทายเชิงโครงสร้าง (Structural Challenges) ไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านโครงสร้างประชากรสังคมสูงอายุ การเติบโตของผลิตภาพการผลิตระดับต่ำ
ทั้งนี้ ไทยกำลังเจรจาเพื่อรองรับต่อมาตรการดังกล่าวที่อาจส่งผลกระทบทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว อาทิ การลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ
รวมทั้งการรองรับผลกระทบจากประเทศคู่ค้าของสหรัฐในการหาตลาดทดแทนซึ่งรวมถึงประเทศไทย โดยจะดำเนินการกำหนดมาตรฐานของสินค้าและควบคุมการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า ตลอดจนเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับประเทศอื่นเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
เร่งลดภาระการคลังระยะยาว
ขณะที่ภาคการคลัง เศรษฐกิจไทยมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ภาษีไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่งผลให้แผนการเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) มีความล่าช้า
ทั้งนี้ รัฐบาลได้วางแผนการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ของภาครัฐ ลดภาระทางการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว รวมถึงเพิ่มพื้นที่ทางการคลังในการรองรับเหตุการณ์ผันผวนในอนาคตได้อย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ ไทยยังมีสถาบันเศรษฐกิจและธรรมาภิบาลที่มีความแข็งแกร่งในระดับปานกลางถึงสูง มีความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังอย่างรอบคอบ มีการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีวินัย ซึ่งสะท้อนจากหนี้สาธารณะเกือบทั้งหมดเป็นสกุลเงินบาท ทำให้ไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และการที่มีตลาดทุนภายในประเทศที่สามารถรองรับความต้องการกู้เงินได้อย่างเพียงพอ
“คลัง”มั่นใจการลงทุนขยายตัว
ส่วนภาคการลงทุน ประเทศไทยยังคงสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) โดยตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 มีมูลค่ากว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด้านคมนาคม สาธารณูปโภค และพลังงานที่ครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ การลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 เหตุการณ์แผ่นดินไหวส่งผลกระทบระยะสั้นต่อจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
ยืนยันนโยบายมหภาค “รอบคอบ”
นอกจากนี้ สบน.ขอเน้นย้ำว่า รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างรอบคอบ มีการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีแผนการปฏิรูปโครงสร้างรายได้ภาครัฐ และแผนเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ระยะปานกลาง กำลังถูกเร่งดำเนินการ
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานความแข็งแกร่งทั้งจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูง ภาคการส่งออก ที่หลากหลาย และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การปรับมุมมอง Outlook ในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคหรือเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการรองรับความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ด้วยนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีความยืดหยุ่น และความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาว
รวมทั้ง สบน.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและฐานะทางเครดิตของประเทศให้มีความมั่นคงในระยะยาวต่อไป
TDRI ชี้สะท้อนสัญญาณเตือนความเสี่ยง
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า การปรับลดครั้งนี้เป็นแค่การปรับ Outlook หรือแนวโน้มทิศทางว่ามีแนวโน้มดูแย่ลง แต่ยังไม่เป็นการลดเครดิตเรตติ้ง ทำให้ต้นทุนการเงินและการกู้ยืมเงินยังไม่เพิ่ม
ทั้งนี้ การระบุว่าแนวโน้มแย่ลงเป็นสัญญาณเตือนว่าความเสี่ยงในอนาคตสูงขึ้น และภาครัฐต้องออกนโยบายให้ดีเพื่อให้แนวโน้มกลับไปทิศทางดีขึ้้น และลดใช้นโยบายประชานิยมที่หวังแค่ผลระยะสั้น
ซึ่งหมายรวมถึงว่าภาครัฐเองก็ต้องออกนโยบายที่ไม่ซ้ำเติมทำให้สถานการณ์แย่ลง โดยเฉพาะจากภัยคุกคามใหญ่ในปัจจุบัน เช่น นโยบายทรัมป์ รวมทั้งปัญหาเดิมในอดีต เช่น หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง หนี้สาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูง
“ในขณะนี้นโยบายของภาครัฐต้องสามารถแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ลูบหน้าปะจมูก เช่น นโยบายลดแลกแจกแถม ก่อหนี้ที่ไม่ได้สร้างเศรษฐกิจที่แท้จริงให้เติบโตขึ้นได้ในอนาคต”
แนะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า Moody's ปรับลด Outlook Credit Rating ไทยเป็น Negative จาก Stable โดยอิงการปรับลดครั้งนี้มาจากเศรษฐกิจไทยเสี่ยงด้านนโยบายภาษีการค้า รวมถึงภาระการคลังที่สูง สะท้อนข้อจำกัดของการใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา รูปแบบราชการ เป็นต้น จะเป็นการสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพให้กับประเทศ ส่วนการที่มูดี้ระบุว่าจุดแข็งไทยคือเรื่องเงินสำรองระหว่างประเทศที่ยังมีสูง ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็ง ส่วนจุดที่ปรับลงเพราะมองว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบนี้ยังกระทบระยะยาว
ส่วนเงิน 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลจะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งทั้ง IMF และธนาคารโลกลด GDP ไทยลงค่อนข้างมาก ซึ่งล้วนมองสอดคล้องกันที่ว่าเศรษฐกิจของไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากเทรดวอร์ที่รุนแรงอย่างมาก โดยเฉพาะโครงสร้างเศรษฐกิจภายในของไทยยังอ่อนแอจึงได้รับผลกระทบหนักกว่าประเทศอื่น
ห่วงเสถียรภาพการคลังระยะยาว
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การลดแนวโน้มเครดิตไทยจากระดับ Stable เป็น Negative เป็นสัญญาณที่ควรให้ความสำคัญ เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและตลาดการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะช่วงที่ไทยพยายามดึงเงินทุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การเปลี่ยน outlook เป็น Negative เป็น “สัญญาณเตือน” ถึงความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะกลางและระยะยาว โดยเฉพาะประเด็นด้านวินัยการคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ และประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของรัฐ และส่วนหนึ่งเชื่อว่า มาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ที่กระทบหลายประเทศที่มีการส่งออกและค้าขายกับสหรัฐ
นายพจน์ กล่าวว่า หอการค้าไทยยังเชื่อมั่นว่า แม้ในภาวะที่ความเชื่อมั่นในบางด้านอาจลดลง ประเทศไทยยังมีเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอื่นที่พร้อมเดินหน้าต่อ ทั้งจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐกำลังดำเนินการ รวมถึงการฟื้นตัวของการลงทุนเอกชนและต่างชาติ
แนะธุรกิจเร่งปรับตัวรับผลกระทบ
ส่วนผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายการค้าของสหรัฐ โดยเฉพาะกรณีที่อาจมีการปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้า หากมีการดำเนินการตามแนวทางที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ก็มีโอกาสกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยและ GDP ในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ตามหลักการค้าระหว่างประเทศแล้ว ที่เคยแจ้งว่า เป็นแบบ กาลักน้ำ สินค้ายังไงก็ต้องไหลไปที่อื่น
ดังนั้นสำหรับสินค้าและตลาดที่มีแนวโน้มปรับตัวได้ การเร่งขยายตลาดใหม่ในประเทศที่มีศักยภาพ จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ไทยควรเร่งดำเนินการ โดยมีข้อเสนอแนะ คือ การปรับตัวของภาคธุรกิจไทยให้พร้อมรับกับความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกที่มากขึ้น รวมถึงการเร่งขับเคลื่อน การพัฒนาศักยภาพแรงงาน การเร่งนวัตกรรม ใช้ Technology ด้วย
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า Moody's เห็นความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยจากสงครามการค้า อีกทั้งไทยมีความเสี่ยงเศรษฐกิจขยายตัวต่ำและฟื้นตัวช้า ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็มองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะต่ำกว่า 2% และอาจจะมีความเสี่ยงที่โตต่ำกว่านั้นถ้าหากไทยโดนเก็บภาษีจากสหรัฐสูง
ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่เป็นเศรษฐกิจเปิด มีมูลค่าการค้าขายระหว่างประเทศทั้งสินค้าบริการประมาณ 125% ของ GDP ดังนั้นไทยจึงหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้ ทาง Moody's มองไทยมีความเสี่ยงที่จะตกชั้น ซึ่งไทยมีความเข้มแข็งทางการคลังมีหนี้สาธารณะต่ำ เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณโตบวก และยังมีโอกาสกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และคิดว่าสถานการณ์ดังกล่าวไม่กระทบการลงทุน
“ไพบูลย์” ไม่กังวลหั่นแนวโน้ม ศก.ไทย
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด และในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวว่า Moody's ปรับลดเพียงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเชิงลบ แต่ยังคงอันดับเครดิตเรตติ้ง ซึ่งไม่น่าห่วงเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทย ภาวะต้นทุนทางการเงินและกระแสเงินทุนต่างประเทศ
ทั้งนี้ ต้องรอติดตามผลการเจรจาระหวางไทยและสหรัฐ ซึ่งไทยไม่ควรถูกเก็บภาษีเพิ่มเกิน 36% ตลาดคาดหวังผลการเจรจาภาษีทรัมป์ที่เก็บกับไทยยิ่งใกล้ระดับ 10% ได้จะยิ่งส่งผลดี ช่วยประคองเศรษฐกิจไทยไม่ให้ต่ำกว่านี้ โดยหลายสำนักคาดจีดีพีไทยปีนี้เติบโต 1% เศษ
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีความหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐหากทยอยออกจริง เช่น เงินกู้ 500,000 ล้านบาท เป็นโครงการลงทุนตามความจำเป็นแต่ละจังหวัด มุ่งสนับสนุนการจ้างงานและสร้างความยั่งยืน ไม่ใช่การแจกเงิน รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ในระบบการปรับลดดอกเบี้ย เพิ่มสภาพคล่องในระบบ เป็นผลดีต่อตลาดการเงินช่วงครึ่งปีหลังปีนี้