เศรษฐกิจโลกหลังทรัมป์ขึ้นภาษี ประเมินล่าสุดโดย IMF | เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

สัปดาห์ที่แล้ว IMF ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2025 วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าหลังรัฐบาลทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้านําเข้ากับทุกประเทศเมื่อวันที่ 2 เม.ย.
จึงน่าสนใจว่าผลประเมินจะออกมาอย่างไร เพราะความไม่ชัดเจนขณะนี้มีมาก อย่างที่ทราบ กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าลงเป็นร้อยละ 2.8 และร้อยละ 3 สะท้อนผลกระทบของภาษีและความไม่แน่นอนด้านนโยบาย
และยํ้าว่าความไม่แน่นอนจะเป็นทั้งปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจโลกจากนี้ไป วันนี้จึงขอขยายความเรื่องนี้ในกรณีประเทศไทย นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ไอเอ็มเอฟมองการขึ้นภาษีสินค้านําเข้าของรัฐบาลสหรัฐเริ่มตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป็เข้ารับตําแหน่งเดือนมกราคมต่อเนื่องถึงการประกาศขึ้นภาษีกับทุกประเทศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ว่าเป็น Major shock หรือช็อกขนาดใหญ่ต่อเศรษฐกิจโลกเปรียบได้กับวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2008 และวิกฤติโควิดปี 2020 ที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกมาก
คราวนี้ก็เช่นกัน การขึ้นภาษีของสหรัฐเหมือนรื้อทิ้งระเบียบการค้าโลกที่มีอยู่ ที่ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากว่าแปดสิบปี ไปสู่ระเบียบการค้าใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร ทําให้เศรษฐกิจโลกขณะนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และตลาดการเงินก็ผันผวนสูงตามความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น
เมื่อความไม่แน่นอนมีมาก การประเมินเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มจึงยากเพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ที่ไอเอ็มเอฟทําคือประเมินตามข้อมูลที่มีอยู่ถึงวันที่ประเมินคือ ภาวะเศรษฐกิจโลกและอัตราภาษีที่ทรัมป์ประกาศถึงวันที่ 4 เมษายน และทําเป็นฉากทัศน์ภายใต้ข้อสมมุติต่างๆ
โดยใช้หลักว่าช็อกสําคัญต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้าคือ อัตราภาษีนําเข้าของรัฐบาลสหรัฐและความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่จะเกิดขึ้นตามมา ทั้งภาษีและเรื่องอื่นๆ และทั้งโดยสหรัฐและประเทศอื่นๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ผลที่ได้คือเศรษฐกิจโลกถูกกระทบทางลบจากสิ่งที่เกิดขึ้น กระทบทุกประเทศจากอัตราภาษีที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่มากขึ้น
การขยายตัวของเศรษฐกิจจะชะลอทั่วหน้าแต่ผลต่อเงินเฟ้อจะต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นประเทศที่ขึ้นภาษีเช่นสหรัฐ หรือถูกขึ้นภาษี เช่นไทย ในกรณีฐานเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 2.8 ปีนี้และร้อยละ 3.0 ปีหน้า
เศรษฐกิจสหรัฐจะถูกกระทบมาก ขยายตัวเหลือร้อยละ 1.8 ปีนี้ อังกฤษร้อยละ 1.1 ปีนี้ และกลุ่มยุโรโซนเหลือร้อยละ 0.6 ประเทศตลาดเกิดใหม่จะขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ปีนี้และร้อยละ 3.9 ปีหน้า
ชัดเจนว่า การขึ้นภาษีและความไม่แน่นอนด้านนโยบาย เป็นช็อกที่กระทบเศรษฐกิจทั่วโลกแต่เศรษฐกิจโลกจะยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้และปีหน้า
ส่วนเงินเฟ้อในสหรัฐและในประเทศพัฒนาแล้วจะเร่งตัวขึ้นจากผลของภาษีและความไม่แน่นอนที่ทําให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ขณะที่ประเทศตลาดเกิดใหม่ เงินเฟ้อจะลดลงจากเศรษฐกิจที่จะชะลอลงมาก
ในสายตาตลาดการเงิน ประมาณการของไอเอ็มเอฟดังกล่าวมองโลกในแง่ดีเกินไป เพราะความไม่แน่นอนด้านนโยบายขณะนี้รุนแรงมากเหมือนยืนอยู่ในห้องมืดที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นและยากจะคาดเดา ทำให้สถานการณ์อาจพลิกผันได้ทุกเวลาขึ้นอยู่กับนโยบายและสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐจะเเสดงออกมา ด้วยเหตุนี้ การประเมินในตลาดการเงินจึงหดหู่กว่ามาก
แต่ไอเอ็มเอฟก็ยํ้าว่า ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกจากนี้ไปจะเป็นแต่ด้านลบ ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจรุนแรงมากขึ้น ความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่จะมากขึ้นจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่แย่ลง รวมถึงความไม่มีเสถียรภาพทางการเงินที่อาจกลับมาเป็นประเด็นอีก
ทั้งหมดคือสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าสถานการณ์บานปลายเอาไม่อยู่ นี่คือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และถ้าเกิดขึ้นในความเห็นของผมจะไม่มีใครควบคุมได้
สําหรับประเทศเรา นี่คือความเป็นจริงของเศรษฐกิจและการเมืองโลกขณะนี้ที่เราต้องเข้าใจและต้องติดตามใกล้ชิดเพื่อลดผลกระทบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจ
อย่างแรกอัตราภาษีนําเข้าที่สูงขึ้นของสหรัฐจะกระทบการส่งออกของเรามาก เพราะสหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่สุดของเรา กดดันทั้งปริมาณการส่งออกที่จะชะลอและราคาสินค้านําเข้าที่จะแพงขึ้น
ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนที่มีมากจะทําให้ธุรกิจชะลอการตัดสินใจ ไม่ลงทุนไม่ใช้จ่าย ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่ชะลอก็จะลดความต้องการซื้อสินค้าจากไทย ทั้งสินค้าและบริการเช่นการท่องเที่ยว
ทั้งหมดคือพลวัตที่จะซํ้าเติมให้เศรษฐกิจไทยปีนี้จะชะลอลงมาก ในแง่การหารายได้ การแข่งขันในประเทศจะรุนแรงเพราะสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐไม่ได้และสินค้าจากประเทศที่สามที่ส่งเข้าสหรัฐไม่ได้จะมาแย่งตลาดในประเทศกัน กดดันให้ราคาในประเทศลดลง
ขณะที่ความผันผวนในตลาดการเงินโลกจะกระทบสภาพคล่องในประเทศและค่าเงิน ซึ่งถ้าดูแลไม่ดีก็จะเป็นข้อจํากัดต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ นี่คือสิ่งที่กําลังเกิดขึ้น
สถานการณ์เช่นนี้ทําให้ทุกภาคส่วนมองไปที่ภาครัฐที่จะแก้ปัญหา ที่ต้องตระหนักคือเศรษฐกิจไทยขณะนี้มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน จุดแข็งคือหนี้ต่างประเทศที่มีน้อยและฐานะทุนสำรองที่เข้มแข็ง
ส่วนจุดอ่อนคือเศรษฐกิจที่กําลังซื้ออ่อนแอ ประชาชนและธุรกิจส่วนใหญ่มีความสามารถจำกัดที่จะดูแลตนเองหรือปรับตัวเมื่อเกิดช็อกจากภายนอก และพื้นที่นโยบายการคลังของประเทศมีจำกัด
การแก้ปัญหาแบบกู้เงินไว้ก่อนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจทำให้ประเทศเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติตามมาถ้านโยบายการคลังขาดวินัยและไม่มีหลักในการแก้ปัญหา ทําให้ทุกอย่างที่ทําจะสูญเปล่า
ในภาวะเช่นนี้ ที่ทุกอย่างเป็นขาลง การกระตุ้นเศรษฐกิจจะไม่ช่วย เหมือนว่ายทวนนํ้า สิ่งที่สําคัญสุดในแง่นโยบายคือการสร้างภาวะแวดล้อมให้เศรษฐกิจและคนในประเทศปรับตัว สามารถที่จะผ่อนกระทบที่หนักให้เป็นเบา และรัฐมุ่งดูแลช่วยเหลือกลุ่มคนหรือธุรกิจที่ปรับตัวไม่ได้จริงๆ
ยิ่งภาวะเศรษฐกิจโลกอาจรุนแรงมากขึ้นและลากยาว รัฐควรนึกถึงการปฏิรูปเศรษฐกิจให้มากๆ เพื่อช่วยประเทศให้มีความสามารถสูงขึ้นที่จะดูแลตัวเอง พึ่งพาตัวเอง ไม่ใช่การสร้างหนี้
นี่คือข้อคิดที่อยากฝากไว้
คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
ดร.บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล