“สหรัฐ"หนุนแก้กม.ต่างด้าว ครม.เคาะปรับ“ลดการ์ด”หันเสริมแกร่ง

การลงทุนจากต่างประเทศ และการเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างชาติ หรือ ต่างด้าวในประเทศไทยเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างหนึ่ง
แต่ดูเหมือนว่า กติกาหลักของเรื่องนี้ อย่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 อาจต้องเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามการทิศทางเศรษฐกิจโลก
เมื่อเร็วๆนี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบในหลักการโดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) พิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้างด้าว พ.ศ. 2542 โดยเร่งด่วน เพื่อลดอุปสรรคในการประกอบอาชีพของประชาชน ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ 1. ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการนำเสนอสภาพปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่มีผลใช้บังคับมาเป็นเวลาเกือบ 25 ปี
โดยมีหลักการมุ่งเน้น “การปกป้อง” ผู้ประกอบการภายในประเทศที่สอดคล้องกับกฎหมายของต่างประเทศในช่วงทศวรรษ 1970 ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการไทยไม่เร่งพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันเนื่องจากได้รับการปกป้องอย่างเข้มข้นจากกฎหมายดังกล่าว
รวมถึงมาตรการกฎหมายในเรื่องดังกล่าวไม่เอื้อต่อการเคลื่อนย้ายฐานการประกอบธุรกิจแห่งอนาคตที่เข้ามาในประเทศไทย เป็นผลให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น
รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจแห่งอนาคตโดยเป็นธุรกิจที่ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างก้าวกระโดดและส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อัตราการจ้างงานและจำนวนภาษีที่ภาครัฐจัดเก็บได้มีการปรับตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอาทิ ธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startup) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงและมีลักษณะพิเศษในการประกอบกิจการทั้งในเรื่องการนำเสนอผลิตภัณฑ์และการระดมทุนจากนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งกระทบต่อสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ประกอบการที่จะลดน้อยลง เมื่อมีการระดมทุนเพิ่มมากขึ้นจนทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ดีพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ได้กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างด้าว รวมถึงประเภทของธุรกิจที่ห้ามคนต่างด้าวประกอบกิจการ อันส่งผลกระทบต่อการขยายกิจการของธุรกิจสตาร์ทอัพและอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
จึงสมควรมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542โดยเปลี่ยนจาก “การปกป้อง” เป็น“การเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน”โดยคำนึงถึงศักยภาพและการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจต่าง ๆ ด้วย
ทั้งนี้ให้ดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อลดอุปสรรคในการประกอบอาชีพของประชาชน ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
สำหรับแนวทางนี้ได้ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง
“กระทรวงการคลัง เห็นว่า การปรับปรุงพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ควรคำนึงถึงประเภทของธุรกิจและสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม รวมถึงระดับการพัฒนาของแต่ละประเภทธุรกิจภายในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง”
สำหรับ กฎหมายต่างด้าวฉบับนี้ เป็นประเด็นที่ต่างชาติให้ความสำคัญอย่างมาก โดยรายงานประมาณการการค้าแห่งชาติปี 2025 เกี่ยวกับอุปสรรคการค้าต่างประเทศ จัดทำโดยสำนักประธานาธิบดีสหรัฐด้านข้อตกลงทางการค้า สังกัดผู้แทนการค้าสหรัฐ หรือ USTR สาระสำคัญที่ระบุถึง พระราชบัญญัติธุรกิจต่างประเทศ (Foreign Business Act - FBA) ซึ่งอยู่ในหัวข้ออุปสรรคด้านการลงทุน ระบุว่า กฎหมายต่างด้าว กำหนดกรอบการควบคุมการลงทุนจากต่างประเทศในประเทศไทย โดยห้ามมิให้คนต่างด้าวและนิติบุคคลที่ต่างชาติเป็นเจ้าของส่วนใหญ่หรือถือหุ้นเกิน 50% แต่ในทางหลักการแล้วนักลงทุนสหรัฐ ซึ่งมีสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐ-ไทย (United States-Thai Treaty of Amity and Economic Relations - AER) ควรจะได้รับการยกเว้นจากข้อห้ามเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สิทธิพิเศษภายใต้กฎหมายต่างด้าวนี้ ไม่ได้ยกเว้นการลงทุนของสหรัฐจากข้อห้ามดังกล่าว
“สหรัฐสนับสนุนให้ประเทศไทยขยายข้อยกเว้นที่มีให้สำหรับนักลงทุนสหรัฐ ที่ลงทะเบียนภายใต้ AER ในภาคส่วนเหล่านี้หรือแก้ไข FBA เพื่อลบอุปสรรคต่อการเป็นเจ้าของของชาวต่างชาติ” รายงานประมาณการการค้าของสหรัฐในส่วนของประเทศไทย ระบุนอกเหนือจาก FBA แล้ว กฎหมายเฉพาะภาคส่วนยังกำหนดการควบคุมการเป็นเจ้าของของชาวต่างชาติด้วย ตัวอย่างเช่น
พ.ร.บ.ธุรกิจโทรคมนาคมห้ามไม่ให้นิติบุคคลที่เป็นของชาวต่างชาติครอบงำกิจการที่ได้รับใบอนุญาตตามบัญชี II และ III ที่เป็นกิจการที่จำเป็นในการดำเนินการเครือข่ายโทรคมนาคมที่เปิดให้สาธารณชนทั่วไปเข้าถึงได้
ด้านสภาพยุโรป หรือ อียู ได้ระบุถึง พ.ร.บ. ต่างด้าวผ่านเวบไซด์ European Commission ซึ่งอัปเดดไว้เมื่อ 27 มี.ค. 2568 ว่า
พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (FBA) กำหนดกรอบโดยรวมที่ควบคุมการลงทุนจากต่างประเทศในประเทศไทย FBA ครอบคลุมบริการทุกประเภทในแนวนอน และสงวนกิจกรรมบางอย่างในโหมด 3 ไว้สำหรับพลเมืองไทยเท่านั้น
ประกอบด้วย บัญชี 1 ปิดกิจกรรมต่อไปนี้สำหรับชาวต่างชาติอย่างเคร่งครัด: การทำฟาร์ม ป่าไม้ การค้าของเก่า การค้าที่ดิน และการออกอากาศ บัญชี 2 กำหนดขีดจำกัดการเป็นเจ้าของของชาวต่างชาติสำหรับกิจกรรมทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ ศิลปะและวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม บัญชี 3 จำกัดการเป็นเจ้าของของชาวต่างชาติในธุรกิจให้ต่ำกว่า 50% สำหรับรายการบริการที่ครอบคลุม
สำหรับกิจกรรมในบัญชี 2 และ 3 อาจมีทุนต่างชาติสูงกว่า 50% ได้ โดยสูงสุด 75% สำหรับบัญชี 2 และ 100% สำหรับบัญชี 3 แต่ต้องได้รับอนุญาตเฉพาะ หรือที่เรียกว่า ใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งการอนุญาตนี้จะได้รับอนุมัติเป็นรายกรณีที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีสำหรับรายชื่อ 2 และคณะกรรมการธุรกิจต่างประเทศสำหรับรายชื่อ 3
“ปัจจุบันของนิติบุคคลต่างประเทศใน FBA หมายถึงการถือหุ้นเท่านั้น แม้ในอดีต ประเทศไทยได้พยายามที่จะเข้มงวดกฎเกณฑ์สำหรับการมีส่วนร่วมของชาวต่างชาติให้มากขึ้นเกินกว่าข้อจำกัดด้านเงินทุนโดยเพิ่มเกณฑ์การถือหุ้นของชาวต่างชาติตามการควบคุมบริษัท (สิทธิออกเสียงและ/หรือการควบคุมการจัดการ) ”
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้เพิ่มการสอบสวนเกี่ยวกับผู้เสนอชื่อไว้เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งกฎเกณฑ์เหล่านี้ทำให้ตลาดบริการในประเทศไทยปิดตัวลงเป็นส่วนใหญ่สำหรับบริษัทที่เป็นเจ้าของโดยชาวต่างชาติ ที่ส่วนใหญ่ที่มีโครงสร้างการถือหุ้นที่ซับซ้อน
ตั้งแต่ปี 2559 กระทรวงพาณิชย์ได้ออกข้อยกเว้นสำหรับรายชื่อกิจกรรมที่ถูกจำกัดภายใต้บัญชื่อ 3 ของ FBA เป็นระยะๆ ซึ่งเป็นการถอดรายชื่อธุรกิจออกสำหรับกลุ่มที่มีกฎหมายเฉพาะดูแลอยู่ เท่ากับว่ายังต้องมีการขออนุญาตเหมือนเดิมแต่จากกฎหมายฉบับอื่นเท่านั้น
“เมื่อปี 2024 กระทรวงพาณิชย์ได้สรุปรายชื่อกิจกรรมบริการ 11 รายการที่เสนอให้ยกเว้นภายใต้ FBA ตั้งแต่ปี 2019 ข้อยกเว้น ได้แก่ การค้าภายในประเทศของผลิตภัณฑ์เกษตรแบบดั้งเดิมที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายล่วงหน้า ใบอนุญาตโทรคมนาคมประเภท 1 (ไม่มีเครือข่าย) ธุรกิจศูนย์การคลัง บริการบางส่วนที่เสนอให้กับบริษัทในเครือ และธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ รายชื่อดังกล่าวอยู่ระหว่างการรอการอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จากนั้นจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อได้รับการอนุมัติและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว การยกเว้นจะมีผลบังคับใช้ กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้ระบุกรอบเวลา” European Commission ระบุ