สกัด 'จีน' สวมไทยส่งออกสหรัฐ เร่งป้องกัน C/O แปลงสัญชาติสินค้า

“รัฐบาล” เร่งแผนป้องกันสวมสินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐ “กรมการค้าต่างประเทศ” ดึงการรับรอง C/O ไปดูเองทั้งหมด เพิ่มสินค้าเฝ้าระวังอีก 65 รายการ 224 พิกัดศุลกากร หารือสหรัฐสรุปพิกัดสินค้าให้ตรงกัน ส.อ.ท.ชี้ปัญหาบริษัทจีนแปลงสัญชาติขอ C/O แนะดำเนินคดีเด็ดขาด เตรียมชงบอร์ดบีโอไอกำหนดสิทธิประโยชน์ลงทุน
การแก้ปัญหาการสวมถิ่นกำเนิดสินค้าเป็นประเด็นที่สหรัฐให้ความสำคัญกับหลายประเทศในอาเซียน ซึ่งสหรัฐเห็นว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงในการนำสินค้าจีนมาสวมถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อส่งออกไปสหรัฐ
ในขณะที่ช่วงที่ผ่านมาไทยส่งออกไปสหรัฐ และได้ดุลการค้าต่อเนื่องมากกว่า 15 ปี และล่าสุดปี 2567 ได้ดุลการค้าสหรัฐ 35,428 ล้านดอลลาร์ แต่ไทยขาดดุลการค้าจีนเช่นเดียวกัน เป็นการขาดดุลอย่างต่อเนื่องมากกว่า 15 ปี และล่าสุดปี 2567 ไทยขาดดุลการค้าจีน 45,364 ล้านดอลลาร์ เป็นระดับสูงสุดที่เคยขาดดุล
การแก้ปัญหาสวมสินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐเป็น 1 ใน 5 ข้อเสนอของไทยที่ยื่นให้กับสหรัฐสำหรับใช้เจรจาบน โดยไทยเตรียมแผนการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งจะกำหนดมาตรการติดตามเฝ้าระวังเข้มงวด ร่วมเฝ้าระวังกับภาคเอกชน ลดปัญหาการสวมรอยของสินค้าประเทศที่ 3 ไปสหรัฐ และลดความเสี่ยงให้สินค้าส่งออกไทยแท้
ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการประสาน US Custom and Border Protection (CBP) เพื่อสรุปพิกัดศุลกากรที่สหรัฐเฝ้าระวังหลบเลี่ยงถิ่นกำเนิดสินค้า เพราะพิกัดศุลกากรไทย-สหรัฐบางรายการไม่เหมือนกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อติดตามมาตรการป้องกันการสวมสิทธิสินค้า และวางแนวทางใหม่ในการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin)
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กำหนดให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการหารือกับ CBP เพื่อกำหนดมาตรการตรวจสอบใหม่ พร้อมทั้งเฝ้าระวังสินค้าที่มีความเสี่ยง 65 รายการ 224 พิกัดศุลกากร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม
ขณะที่ระยะยาวรัฐบาลเตรียมปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มโทษต่อบริษัทที่สวมสิทธิสินค้า โดยหากดำเนินการเข้มงวดจะลดปัญหาการสวมสิทธิได้ภายใน 90 วัน และจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ขยายตลาดส่งออกมากขึ้น
นอกจากนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ประชุมอีกครั้งเมื่อวันที่ 25 เม.ย.2568 และกำหนดมาตรการเร่งด่วน ได้แก่
ทั้งนี้ กำหนดให้กระทรวงพาณิชย์จะแก้ไขกระบวนการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อให้สอดคล้องข้อกำหนดสหรัฐมากขึ้น โดยร่วมมือภาคเอกชนตรวจสอบตั้งแต่ต้นทางในโรงงานผลิต เพื่อปิดช่องโหว่การสวมสิทธิก่อนส่งออกไปต่างประเทศ
สำหรับรายการสินค้าที่เฝ้าระวังไปสหรัฐที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนดไว้กลุ่มแรก 49 รายการ รวม 194 พิกัด ในจำนวนนี้มี 21 พิกัดที่มีความเสี่ยงสูงในการสวมถิ่นกำเนิดสินค้า ส่วนรายการสินค้าเพิ่มเติม 65 รายการ 244 พิกัด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ฮาร์ดิสก์ไดรฟ์ ยางรถยนต์ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบ ซึ่งต้องหารือพิกัดเฝ้าระวังร่วมกับสหรัฐ
“พาณิชย์” ดึง Form C/O กลับไปดูเอง
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มอบให้กรมการค้าต่างประเทศหารือ CBP เพื่อวางหลักเกณฑ์ใหม่ในการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form C/O ทั่วไป สำหรับรายการสินค้าเฝ้าระวังการส่งออกไปสหรัฐ
ทั้งนี้ เดิมกรมการค้าต่างประเทศกำหนดรายการสินค้าเฝ้าระวังไปสหรัฐ 49 รายการ 194 พิกัด ซึ่งผู้ส่งออกต้องยื่นขอตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อรับหนังสือรับรอง Form C/O ทั่วไป
ล่าสุดได้ประชุมหารือร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ ส.อ.ท.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form C/O ทั่วไป โดยมีความเห็นร่วมกันให้กรมการค้าต่างประเทศ เป็นหน่วยงานเดียวที่ออกหนังสือรับรอง Form C/O ทั่วไป สำหรับรายการสินค้าเฝ้าระวังส่งออกไปสหรัฐ 49 รายการ
ขณะที่สินค้าอื่นทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ ส.อ.ท.ยังออกหนังสือรับรอง Form C/O ได้เช่นเดิม
เพิ่ม 65 สินค้าเสี่ยงสวมถิ่นกำเนิด
นอกจากนี้ กรมการค้าต่างประเทศกำลังพิจารณาสินค้าเสี่ยงสูงในการแอบอ้างถิ่นกำเนิดเพิ่มอีก 65 รายการ 224 พิกัด ซึ่งประสาน CBP ถึงข้อกังวล และแนวทางดำเนินการร่วมกันที่สหรัฐกังวลเพื่อให้ข้อมูลตรงกัน โดยเฉพาะรายละเอียดพิกัดศุลกากรสินค้าที่สหรัฐติดตาม และเฝ้าระวัง เพราะพิกัดภาษีศุลกากรบางรายการสินค้าไม่เหมือนกัน
ดังนั้น เมื่อได้รายละเอียดที่ชัดเจนจัดทำเป็นแนวทางการทำงาน และการตรวจสอบร่วมกัน จากนั้นจะตรวจโรงงานละเอียด และตรวจเอกสารการส่งออกเข้มงวดสำหรับสินค้าที่เสี่ยงสูง โดยจะทำงานร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ศุลกากรสหรัฐยอมรับการตรวจสอบของไทย โดยกรมการค้าต่างประเทศจะเร่งดำเนินเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
บริษัทจีนแปลงสัญชาติขอ C/O
นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชิญภาคเอกชนหารือการป้องกันการสวมสิทธิสินค้าเฝ้าระวังไปสหรัฐ เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร ส.อ.ท.และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือแก้ปัญหาก่อนที่ทีมไทยแลนด์จะเดินหน้าไปเจรจากับสหรัฐ
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่าดำเนินมาตรการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าต้องไม่กระทบการอำนวยความสะดวกผู้ส่งออกไทย และผู้ส่งออกที่ปฏิบัติถูกต้องอยู่แล้วต้องขอหนังสือรับรอง C/O ทั่วไป ได้รวดเร็ว
สำหรับใบรับรอง C/O มีหลายแบบ เพื่อใช้ประโยชน์ด้านสิทธิพิเศษตามสิทธิการค้า ซึ่งใบ C/O ที่ออกโดย ส.อ.ท.และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นใบรับรองถิ่นกำเนิดแบบทั่วไปที่ไม่ได้นำไปใช้สิทธิประโยน์ภาษี เช่น ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) จึงแบ่งมาให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ ส.อ.ท.ช่วยออกหนังสือรับรอง
“ตอนหลังใบ C/O ทั่วไป เริ่มมีประโยชน์ในบางกรณี เช่น จีนไม่มีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐจึงถูกมาตรการ AD ตอบโต้การทุ่มตลาด ตอบโต้การอุดหนุน ดังนั้น ทำให้บริษัทจีนจึงพยายามแปลงสัญชาติ ใช้วิธีส่งสินค้ามาพักที่ท่าเรือของไทยและขอออกใบ C/O ที่ออกโดยทั้ง 3 หน่วยงานแล้วส่งไปประเทศอื่นหรือสหรัฐเพื่อหลีกเลี่ยง AD และ CVD ในประเทศที่ไม่มีเขตเสรีหรือการค้าระหว่างกัน”
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาระบุว่าหลายประเทศหละหลวมในการออกใบ C/O ทั่วไป ซึ่งให้จีนปลอมแหล่งกำเนินสินค้า ซึ่งทำให้กระทรวงพาณิชย์นำการออกใบรับรอง C/O ทั่วไป กลับไปดูแลเองทั้งหมดชั่วคราวเพื่อให้สหรัฐสบายใจ
แนะ “พาณิชย์” ดำเนินคดีเด็ดขาด
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ อาจต้องดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำผิด เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างไม่ใช่เพียงแค่ยกเลิกหนังสือรับรอง C/O เป็นรายฉบับเท่านั้น โดยภาครัฐต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันการสวมถิ่นกำเนิดสินค้า รวมออกมาตรการทางการค้าที่จำเป็นได้รวดเร็ว เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยง
“ได้เสนอนายกฯ ว่าการออกใบ C/O ทั่วไป ในกลุ่มสินค้าเฝ้าระวังไปสหรัฐ มีการออกเยอะสุดผ่านกระทรวงพาณิชย์ ซึ่ง ส.อ.ท.ออกไม่ถึง 100 ฉบับต่อเดือน ในกลุ่มสินค้าที่สหรัฐเฝ้าระวัง"
รวมทั้งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ชี้แจงว่าจะมีความเข้มงวดตั้งแต่ปี 2562 พร้อมประกาศขอเพิ่มความเข้มงวดสินค้าเฝ้าระวังส่งไปสหรัฐ แต่ 6 ปีแล้ว ยังมีสินค้าหลบเลี่ยงได้ และทำให้ไทยถูกเก็บภาษีเพิ่ม เช่น โซลาร์เซลล์ โดยสหรัฐมองว่าไทยเป็นช่องทางเปลี่ยนโซลาร์เซลล์จากจีนเพื่อส่งออกไปสหรัฐ
ดังนั้น ภาครัฐควรดำเนินคดีกับผู้แอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าในลักษณะเดียวกับทีมสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เข้าไปตรวจสอบโรงงาน โดยกรณีการป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าควรหารือข้อกฎหมายอย่างจริงจังระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้แอบอ้างได้
ทั้งนี้ ภาคเอกชนไม่ต้องการให้แก้ปัญหาแค่ปลายเหตุ เพราะการยึดใบ C/O ทั่วไป กับผู้แอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไปแล้ว แต่ผู้มีเจตนาทำผิดจะไปจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อมายื่นขอใบ C/O ทั่วไป
ชงบอร์ดบีโอไอกำหนด Local Content
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ปรับการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนให้สอดรับสถานการณ์โลก โดยเฉพาะการป้องกันการใช้ไทยเพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกังวลของสหรัฐทำให้รัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบคุณภาพ และมาตรฐานสินค้า
ทั้งนี้ การให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนต้องมีเงื่อนไขรัดกุมขึ้น เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ในไทยต้องใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) สัดส่วนสูงขึ้น และต้องกระจายตลาดส่งออกไปประเทศอื่นเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ BOI ระบุว่า BOI เตรียมเสนอมาตรการดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ภายในเดือนพ.ค.2568 โดยที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริม Local Content เพื่อให้ผู้ผลิตในประเทศโดยเฉพาะ SMEs ได้ประโยชน์จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
สำหรับนโยบายดังกล่าวนำมาหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายใต้โครงการส่งเสริม EV 3.0 และ EV 3.5 ที่กำหนดให้ผลิตชิ้นส่วนหลักในไทยไม่น้อยกว่า 30% เช่นเดียวกับการผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV และ MHEV) มีเงื่อนไขผลิตชิ้นส่วนในประเทศเช่นกัน
นอกจากนี้ BOI หารือกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.เพื่อส่งเสริมค่ายรถใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทไทยมากขึ้นผ่านโครงการ “Thai Content” เพื่อผลักดันให้ผู้ผลิตในประเทศขยายตลาด และเพิ่มการผลิต ซึ่งจะส่งเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ผลิตไทยก้าวสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก หรือ Global Supply Chain
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์