เงื่อนไขผลิตไฟ “โซลาร์เซลล์” ขอใบอนุญาตแบบ“วัน สต๊อปเซอร์วิส”

เมื่อเร็วๆนี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (คปธ.) เสนอ
การปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ที่คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจเสนอ ได้แก่ การปรับลดขั้นตอนโดยจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่ออนุญาตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell)เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับความสะดวกรวดเร็วและลดค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตผลิตไฟฟ้า
โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับลดขั้นตอนโดยจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จดังกล่าวได้แก่ กระทรวงพลังงาน (สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน) กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม)
สำหรับรายละเอียดของข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายฯ ดังกล่าว มีดังนี้ ในส่วนของการจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) เพื่อการอนุญาตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell)
เนื่องจาก คปธ. เห็นว่า การปรับโครงสร้างพลังงานของประเทศไทยจำเป็นต้องมีพลังงานสะอาดมากขึ้นทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ของสหภาพยุโรป
รวมทั้งดึงดูดให้ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยมีแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด โดยกำหนดสัดส่วนจากพลังงานแสงอาทิตย์สูงที่สุดเกือบ50% ของพลังงานสะอาดทั้งหมดแต่ในปัจจุบันผู้ขออนุญาตผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ยังพบอุปสรรคในการขออนุญาตที่มีหลายขั้นตอนและใช้เวลานานซึ่งต้องขออนุญาตจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรวม 6 หน่วยงาน โดยใช้เวลารวมประมาณ 180 วัน ประกอบกับขั้นตอนการพิจารณาและตรวจสอบสถานที่ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีความซ้ำซ้อนกันทำให้เป็นภาระกับผู้ประกอบการ
ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 72,000 แห่ง ได้รับความสะดวกรวดเร็วและลดค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตผลิตไฟฟ้า จากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) อีกทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด อันจะส่งผลต่อการสร้างขีดความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศและลดข้อจำกัดในการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่นโยบายทางด้านภาษีจึงควรปรับลดขั้นตอนโดยจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จเพื่ออนุญาตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell)
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องดำเนินการ ได้แก่ การดำเนินการตามข้อเสนอข้างต้น ควรมอบหมาย ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(สำนักงาน กกพ.)ทำหน้าที่เป็นOne Stop Service ตั้งแต่การรับคำขอ การพิจารณา และการออกใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน
ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.),การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)เป็นผู้ตรวจสอบการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและใบอนุญาตอื่นที่เกี่ยวข้องของสำนักงาน กกพ. ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550
ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมพิจารณาเร่งรัดการยกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน(รง.4) ลำดับที่ 88 (1) ตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน พ.ศ. 2563 เพื่อกำหนดให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทุกชนิด (ชนิดติดตั้งบนหลังคา ชนิดติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ และชนิดติดตั้งบนพื้นดิน)ทุกกำลังการผลิตไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานเพื่อส่งเสริมให้เกิดการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อย่างแพร่หลาย
ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเร่งรัดการยกเลิกใบอนุญาตพลังงานควบคุม (พค.2) สำหรับการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2539) ที่กำหนดให้การอนุญาตให้ผลิตหรือขยายการผลิตพลังงานควบคุมให้ใช้แบบ พค.2 และมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดพลังงานควบคุม พ.ศ. 2536 กำหนดให้พลังงานไฟฟ้าซึ่งมีขนาดการผลิตรวมของแต่ละแหล่งผลิตตั้งแต่ 200 กิโลโวลต์แอมแปร์ขึ้นไปเป็นพลังงานควบคุม
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการผลิต จำหน่ายหรือการใช้พลังงานควบคุม หากแต่ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ไม่จำเป็นต้องกำหนดเป็นพลังงานควบคุม เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตโซลาร์เซลล์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณมากโดยใช้จำนวนแผงเซลล์แสงอาทิตย์หรือพื้นที่ติดตั้งลดลงจากเดิม อีกทั้งยังมีมาตรฐานการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าจาก กฟน. และ กฟภ. ในเขตพื้นที่ของการติดตั้งด้วยแล้ว
ปัจจุบันมีคำขออนุญาตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) คงค้างรอตรวจสอบการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าอยู่ประมาณ 10,000 รายการ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการจัดตั้ง ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การไฟฟ้าควรต้องเร่งพิจารณาคำขอเดิมที่คงค้างอยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
สำหรับคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายฯ อาศัยอำนาจตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 272/2566 ลงวันที่ 15 ต.ค. 2566 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 322/2567 เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายฯ เพื่อมีหน้าที่และอำนาจในการเสนอแนะ ต่อคณะรัฐมนตรีในการแก้ไข ปรับปรุง หรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีพและธุรกิจของประชาชน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการประกอบธุรกิจที่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน







