“เผ่าภูมิ" มั่นใจเครดิตเรตติ้งไทยคงที่ระดับ Stable ชูพื้นฐานแกร่ง

"เผ่าภูมิ" ถก JP Morgan-Moody’s-S&P มั่นใจเครดิตเรตติ้งไทยคงที่ระดับ Stable ชูพื้นฐานแกร่ง - พร้อมรับมือความผันผวน
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการหารือกับสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ 3 แห่ง ได้แก่ JP Morgan, Moody’s และ S&P ระหว่างเข้าร่วมการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (WB-IMF Spring Meetings) ประจำปี 2568 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
โดยแสดงความมั่นใจว่าประเทศไทยจะยังคงได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ต่อไป
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ต้องเผชิญกับภาวะการเติบโตในระดับต่ำต่อเนื่อง แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณบวกในหลายภาคส่วน แต่การฟื้นตัวยังไม่เต็มศักยภาพ และยังคงมีความไม่แน่นอนจากนโยบายทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งผลกระทบทางตรงต่อการส่งออก และผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
รวมถึงการชะลอการลงทุน รัฐบาลไทยได้เตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน ทั้งนโยบายทางการคลัง นโยบายทางการเงิน รวมถึงการใช้กลไกของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อรับมือกับความผันผวนดังกล่าวด้วยความระมัดระวัง
นายเผ่าภูมิ กล่าวย้ำถึง เสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคของไทย โดยระบุว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ และมีเสถียรภาพ สถาบันการเงินทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนมีความมั่นคง โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) อยู่ในระดับสูงที่ 20.12% สะท้อนถึงฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ไทยยังมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงกว่า 2.47 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นกันชนสำคัญในการรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ
ในด้านฐานะการคลัง รัฐบาลให้ความสำคัญกับการบริหารหนี้สาธารณะเชิงรุก และการรักษาวินัยในการชำระหนี้ แม้ว่าการกู้เงินในช่วงวิกฤติโควิด-19 จะส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น แต่การใช้เงินกู้ดังกล่าวก็มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 64.21% ของ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้
นายเผ่าภูมิ ยังชี้ให้เห็นถึงข้อได้เปรียบในการบริหารหนี้ของไทย โดยมีต้นทุนการกู้เงินเฉลี่ยที่ต่ำเพียง 2.82% มีอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ยาวนานถึง 9 ปี 2 เดือน และสัดส่วนหนี้สาธารณะในสกุลเงินต่างประเทศมีเพียง 0.90% ของ GDP ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ เมื่อเทียบตัวเลขหนี้ภาครัฐบาลของไทยตามหลักสากลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จะอยู่ที่ 58.50% ต่อ GDP เท่านั้น และไทยยังคงรักษาความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Affordability) ได้เป็นอย่างดี
ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีความแกร่ง มีเสถียรภาพทางการคลังที่ดี การบริหารจัดการหนี้สาธารณะที่มีประสิทธิภาพ และความพร้อมในการรับมือกับความผันผวนจากปัจจัยภายนอก
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า มีแนวโน้มสูงที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ในระดับ BBB+ ของ S&P ซึ่งเทียบเท่ากับ Baa1 ของ Moody’s และมุมมองความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ซึ่งอยู่ในระดับน่าลงทุน (Investment Grade) ต่อไป
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์