ชง ครม.สัญจร ตั้งเขตเศรษฐกิจใหม่แบบดาวกระจาย นำร่องอีสาน - เหนือ

จับตา ครม.สัญจรนครพนม 28 - 29 เม.ย.68 นี้ เสนอจัดตั้งเขตเศรษฐกิจใหม่แห่งชาติแบบดาวกระจาย เริ่มต้นภาคอีสาน - เหนือ “ธัชพล กาญจนกูล” แนะรัฐบาลเร่งขับเคลื่อนรับดีมานด์ลงทุน
นายธัชพล กาญจนกูล ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ เขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาโครงการที่สอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติที่มีผลต่อการสร้างความมั่นคงในชีวิตของประชาชนและประเทศ เปิดเผยว่า จากการที่ได้รับมอบหมายให้มีการศึกษาแนวทางโครงการจัดตั้งสำนักงานเขตเศรษฐกิจใหม่แห่งชาติขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ปัจจุบันโครงการนี้ได้มีการนำเสนอผ่านกรรมาธิการทั้งสองคณะแล้ว โดยเป้าหมายเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการขยายตัวของประเทศ รวมทั้งพัฒนาความเจริญในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยคาดว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรจังหวัดนครพนม ระหว่างวันที่ 28 – 29 เม.ย.68 นี้ จะมีการเสนอโครงการดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เพื่อพิจารณา
“ปัจจุบันภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีศักยภาพสูงในการขยายตัวจากการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งมีจำนวนประชากร และผู้ใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก แต่มูลค่าผลิตภัณฑ์ประชาชาติในพื้นที่ (GDP) ยังอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ ที่สำคัญเขตพิเศษทางการค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่มีส่วนสร้างในการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศอย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะพัฒนาพื้นที่เหล่านี้สู่เขตพิเศษทางการค้า”
นายธัชพล กล่าวด้วยว่า จากศักยภาพของพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทางการเกษตรที่จะพัฒนาต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมด้านนวัตกรรมการเกษตร ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศ ประกอบกับความพร้อมทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ที่กำลังมองหาพื้นที่ลงทุนอุตสาหกรรมต่างๆ เวลานี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่รัฐบาลควรเร่งขับเคลื่อนโครงการเขตพิเศษ โดยต้องมีการขยายเขตเศรษฐกิจใหม่เพิ่มขึ้นเพื่อกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคได้อย่างเข้าถึง
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ศึกษาความเหมาะสม และเสนอให้จัดตั้งในรูปแบบกระจายพื้นที่หรือแบบดาวกระจายไปยังบริเวณพื้นที่ทุกจุดที่มีศักยภาพสูงในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงพื้นที่ทั่วทั้งประเทศมีความพร้อม และมีความต้องการของพื้นที่ (On Demand) เป็นประการสำคัญ โดยไม่กำหนดเฉพาะเจาะจงเป็นรายจังหวัดตามรูปแบบเดิม
และมุ่งเน้นในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ AI, ดิจิทัล กลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์, อัตลักษณ์ไทย, วัฒนธรรมไทย กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงคุณค่า และกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร, ปศุสัตว์ และอาหารแปรรูป เป็นต้น ทั้งนี้จะมีการพัฒนาทักษะแรงงานของประชาชนในพื้นที่ และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญควบคู่ไปด้วย ส่วนรูปแบบโครงสร้างของสำนักงานเขตเศรษฐกิจใหม่แห่งชาติ จะเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ทั้งเป็น Facilitator และ Operator ที่มีกฎหมายพิเศษ ซึ่งอาจใช้รูปแบบการจัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และความชัดเจนในขั้นตอนการบังคับใช้ในด้านต่างๆ เช่น การกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตต่างๆ การอนุมัติโครงการต่างๆ การจัดหาแหล่งเงินทุน / ระดมทุน และสนับสนุนโครงการโดยร่วมลงทุนได้นอกเหนือจากการประสานงานในการของบประมาณจากภาครัฐ
รวมไปถึงการกำหนดสิทธิประโยชน์โครงการเป็นแบบ Standard Intensive+Extra ตามแนวทางของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งจะมีการทำงานที่ใกล้ชิด และสอดคล้องกันเพื่อลดความสับสนของนักลงทุน และเป็นการบริการในระดับการพัฒนาพื้นที่ให้กับนักลงทุนทั้งใน และนอกประเทศอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีขอบเขตอำนาจครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ในทุกภาคทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นการค้า การลงทุนในทุกพื้นที่ ที่มีความพร้อมให้เกิดความตื่นตัว
อย่างไรก็ดี คาดว่ารูปแบบของเศรษฐกิจใหม่นี้ จะสามารถสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจจากการลงทุนได้ประมาณ 1.5 - 2 เท่าของจำนวนเงินลงทุน ในด้านการจ้างงานคาดว่าจะสามารถจ้างได้มากกว่า 300,000 – 500,000 อัตรา จากการลงทุนกว่า 500,000 ถึงหนึ่งล้านล้านบาท ในพื้นที่ใหม่บนเขตเศรษฐกิจทั่วประเทศกว่า 50 เขต และเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างความอยู่ดีกินดี และสร้างรายได้แก่ประชาชนเพิ่มมากขึ้นกว่า 20%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์