ราคาน้ำมันดิบร่วงลงมากกว่า 2% หลังเจรจาสหรัฐ-อิหร่านคืบหน้า

ราคาน้ำมันดิบร่วงลงมากกว่า 2% หลังมีสัญญาณความคืบหน้าในการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ท่ามกลางความตึงเครียดในตลาดที่เพิ่มขึ้นจากสงครามการค้า
รอยเตอร์ รายงานภาวะตลาดน้ำมันดิบวันจันทร์ (21เม.ย.) หรือเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาไทยว่า ราคาน้ำมันดิบร่วงลงมากกว่า 2% ในวันจันทร์ หลังมีสัญญาณความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ขณะที่นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคทางเศรษฐกิจจากกำแพงภาษีศุลกากรที่อาจจำกัดความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิง
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 1.70 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 66.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากปิดบวก 3.2% ในวันพฤหัสบดี ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียตของสหรัฐฯ(WTI) ปิดที่ 63.08 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 1.60 ดอลลาร์ หรือ 2.47% หลังจากปิดบวก 3.54% ในการซื้อขายก่อนหน้า
โดยวันพฤหัสบดีเป็นวันปิดตลาดวันสุดท้ายในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากเป็นวันหยุด Good Friday
เจรจานิวเคลียร์คืบหน้า
“การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านดูจะค่อนข้างเป็นไปในทางบวก ซึ่งทำให้ผู้คนเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา” แฮร์รี ทชิลลิงกิเรียน หัวหน้ากลุ่มวิจัยของ Onyx Capital Group กล่าว “สิ่งที่บ่งชี้ในทันทีก็คือราคาน้ำมันดิบของอิหร่านจะไม่หลุดออกจากตลาด”
ตลาดยังมีสภาพคล่องต่ำเนื่องจากวันหยุดอีสเตอร์ ซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นได้ เขากล่าวเสริม
ในการเจรจา สหรัฐฯ และอิหร่านตกลงที่จะเริ่มร่างกรอบสำหรับข้อตกลงนิวเคลียร์ที่อาจเกิดขึ้น รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านกล่าว หลังจากการหารือซึ่งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า "คืบหน้าไปมาก"
คืบหน้าดังกล่าวตามมาหลังจากที่สหรัฐฯ ออกมาตรการคว่ำบาตรโรงกลั่นน้ำมันอิสระของจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยอ้างว่ากลั่นน้ำมันดิบของอิหร่าน ส่งผลให้เตหะรานต้องเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้น
ตลาดกังวลกำแพงภาษีจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวแรง
ตลาดยังตกอยู่ภายใต้ความกดดันในวันจันทร์ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ วิพากษ์วิจารณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดอีกครั้ง โดยตลาดพลังงานเกิดความวิตกเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ ตามคำกล่าวของนักวิเคราะห์
เยียบ จุน รองนักกลยุทธ์การตลาดของโบรกเกอร์ออนไลน์ IG กล่าวว่า “แนวโน้มโดยรวมยังคงเอียงไปทางขาลง เนื่องจากนักลงทุนอาจต้องดิ้นรนเพื่อหาสัญญาณแนวโน้มอุปทาน-อุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางการลากยาวของภาษีต่อการเติบโตทั่วโลกและอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มโอเปกพลัส ”
คาดว่ากลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ รวมถึงกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตร เช่น รัสเซีย ยังคงจะเพิ่มปริมาณการผลิต 411,000 บาร์เรลต่อวันเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แม้ว่าการเพิ่มขึ้นดังกล่าวอาจชดเชยด้วยการลดการผลิตของประเทศที่เกินโควตาได้บางส่วน
การสำรวจของรอยเตอร์เมื่อวันที่ 17 เมษายน แสดงให้เห็นว่านักลงทุนเชื่อว่านโยบายภาษีศุลกากรจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้และปีหน้า โดยมีโอกาสเฉลี่ยของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้าที่ใกล้ถึงระดับ 50% สหรัฐฯ เป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก
นักลงทุนกำลังจับตาดูข้อมูลของสหรัฐฯ หลายฉบับที่จะเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ PMI ภาคการผลิตและบริการเดือนเมษายน เพื่อติดตามทิศทางของเศรษฐกิจ
เยียบจาก IG กล่าวว่า "ดัชนี PMI ชุดใหม่ในสัปดาห์นี้อาจตอกย้ำถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากภาษีศุลกากร โดยคาดว่าสภาวะการผลิตและบริการของเศรษฐกิจหลักๆ จะอ่อนตัวลง" และเสริมว่าราคาน้ำมันจะเผชิญกับแรงต้านที่ระดับ 70 เหรียญสหรัฐ