‘ไทย’ เสี่ยงสุญญากาศการลงทุน หวั่นสหรัฐเก็บภาษีไทยแซงคู่แข่ง 

‘ไทย’ เสี่ยงสุญญากาศการลงทุน หวั่นสหรัฐเก็บภาษีไทยแซงคู่แข่ง 

ส.อ.ท.ชี้สหรัฐชะลอขึ้นภาษี 90 วัน สร้างสุญญากาศลงทุน ชะลอเอฟดีไอ “ดับบลิวเอชเอ” จับตาผลเจรจาภาษี ห่วงภาษีไทยแข่งขันลงทุนไม่ได้ในปี 69 หากภาษีไทยสูงกว่า แนะรัฐเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งรายเก่า และใหม่ กนอ.เร่งลดข้อจำกัดหนุนเชื่อมั่นลงทุน

KEY

POINTS

  • สินค้าจีนที่ถูกกำแพงภาษีสูงขึ้นในสหรัฐจะยิ่งทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดเอเชีย และอาจเข้ามาดัมพ์ราคาในไทย รวมถึงการสวมสิทธิการตั้งโรงานมากขึ้น เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งกระทบถึงยอดการลงทุนเอฟดีไอในปีนี้ก็อาจจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
  • ในระยะยาวตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป WHA Group ต้องประเมินสถานการณ์ว่าไทยจะเจรจาต่อรองเพื่อให้ระดับภาษีอยู่ระดับที่แข่งขันได้กับประเทศอื่นในภูมิภาคหรือไม่ ซึ่ง WHA Group เตรียมพร้อมรับต่อสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบระยะยาวแล้ว
  • แม้สหรัฐจะหยุดการขึ้นภาษี 36% ชั่วคราว 90 วัน จะต้องเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ทั้งนี้ สิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเร่งปรับปรุงบรรยากาศการลงทุน ลดขั้นตอน และข้อจำกัดต่างๆ ให้เร็วที่สุดเพื่อดึงดูดนักลงทุนเพิ่ม 

 

 

 

ประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศมาตรการพักการจัดเก็บภาษีศุลกากรเป็นระยะเวลา 90 วัน ซึ่งมีผลบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากกว่า 60 ประเทศ รวมถึงไทย ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว สินค้าจากประเทศเหล่านี้จะยังคงถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 10% ตามที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2568

ในอาเซียนที่มีโครงสร้างการผลผลิตใกล้เคียงกันถูกสหรัฐเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะไทย เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่มีแผนการดึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และอยู่ขั้นตอนการขอเจรจากับสหรัฐ ซึ่งความไม่ชัดเจนในช่วง 3 เดือน จะมีผลต่อการตัดสินใจการลงทุน

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประเมินกระทบจากนโยบายดังกล่าวต่อการลงทุนจากความไม่แน่นอนที่ยังสูงต่อเนื่องทำให้การตัดสินใจทางธุรกิจ และการลงทุน ชะลอออกไป (wait and see) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐเป็นหลัก (อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และยานยนต์)

ทั้งนี้ เริ่มเห็นผลดังกล่าวแล้ว จากการหารือกับผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าวมีบางส่วนรอความชัดเจนเพื่อตัดสินใจการลงทุนใหม่จากแผนเดิมที่วางไว้ในระยะต่อไป หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่นอาจเห็นการย้ายฐานการผลิตออกจากไทย

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จากการที่สหรัฐชะลอขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศที่ไม่ตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน จะสร้างสุญญากาศการลงทุนแน่นอน โดยการประกาศแต่ละประเทศไม่เท่ากันได้หยุดไปก่อน แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นกระแสตอบรับสะท้อน คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกที่เลยระยะเวลาเส้นตาย

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญคือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะหมดไป แต่เป็นเพียงการซื้อเวลาออกไปเท่านั้น และสิ่งที่เห็นชัดคือ บอนด์ยีลด์สหรัฐจะพัง เพราะต้นทุนแพงมาก ซึ่งจะส่งผลเสียตลาดการเงินสหรัฐ ส่งผลกระทบถึงปัญหาทางเศรษฐกิจที่อาจควบคุมไม่ได้เลย ซึ่งที่ปรึกษาข้างกายฝ่ายบุ๋นก็มีการให้ข้อมูล และแจ้งทรัมป์ถึงผลเสียดังกล่าว ทำให้ทรัมป์ฟัง และตัดสินใจในนาทีสุดท้าย

“การลงทุนในไทยจะกระทบการส่งออกจากภาษีที่สูงขึ้น อาจทำให้ผู้ประกอบการต่างชาติที่เคยยื่นขอรับการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไว้แล้ว อาจจะชะลอการสร้างโรงงานเพื่อรอดูสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน" 

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง นายเกรียงไกร กล่าวว่า จะต้องจับตานโยบายภาษีของทรัมป์หลังครบกำหนด 90 วัน หากสหรัฐยังคงเก็บภาษีนำเข้าจากไทยอัตรา 36% จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยซบเซา และผันผวนมากขึ้น 

นอกจากนี้ สินค้าจีนที่ถูกกำแพงภาษีสูงขึ้นในสหรัฐจะยิ่งทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดเอเชีย และอาจเข้ามาดัมพ์ราคาในไทย รวมถึงการสวมสิทธิการตั้งโรงงานมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งกระทบถึงยอดการลงทุนเอฟดีไอ ในปีนี้ก็อาจจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา

“ดับบลิวเอชเอ” ห่วงไทยถูกเก็บภาษีสูง

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จากการที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าศุลกากร 90 วัน สำหรับประเทศที่ไม่ตอบโต้ นั้นจะเกิด “สุญญากาศ” การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม หรือไม่นั้น

นางสาวจรีพร กล่าวว่า ระยะสั้นปี 2568 WHA Group ยังไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐต่อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เพราะเป้าหมายการขายที่ดิน 2,350 ไร่ ในปี 2568 ลูกค้าส่วนใหญ่ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงการซื้อที่ดิน (Letter of Intent : LOI) และบางส่วนชำระเงินมัดจำแล้ว โดยยังไม่ปรากฏท่าทีว่าลูกค้ารายใดจะยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว

ขณะที่เป้าหมายรายได้โดยรวมของ WHA Group ที่ตั้งเป้าไว้ 20,000 ล้านบาท ไม่ได้รับผลกระทบจากลูกค้าในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่ลงนามในสัญญาเป็นแล้ว และอยู่ขั้นตอนรอการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินภายในปี 2568

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไปต้องประเมินสถานการณ์ว่าไทยจะเจรจาต่อรองเพื่อให้ระดับภาษีอยู่ระดับที่แข่งขันได้กับประเทศอื่นในภูมิภาคหรือไม่ โดย WHA Group เตรียมพร้อมรับต่อสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบระยะยาว อาทิ 

1.ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ซึ่งต้องเฝ้าระวังข่าวสาร และพัฒนาการเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐ และการตอบสนองของรัฐบาลไทยต่อเนื่อง 

2.ประเมินผลกระทบต่อลูกค้า โดยหารือผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อทำความเข้าใจถึงความกังวล และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของพวกเขา

3.สื่อสารนักลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนทั้งรายเก่า และรายใหม่ โดยเน้นย้ำถึงจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรม และประเทศไทย รวมถึงมาตรการสนับสนุนต่างๆ 

4.เตรียมแผนรับมือ ทั้งมีการวางแผนศึกษาโอกาสการลงทุนในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม

เร่งลดข้อจำกัดหนุนเชื่อมั่นลงทุน

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และรักษาการผู้ว่าการ กนอ.กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าแม้สหรัฐจะหยุดการขึ้นภาษี 36% ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน แต่ต้องเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ทั้งนี้ สิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเร่งปรับปรุงบรรยากาศการลงทุน ลดขั้นตอน และข้อจำกัดต่างๆ ให้เร็วที่สุดเพื่อดึงดูดนักลงทุนเพิ่ม 

รวมทั้งต้องลดต้นทุนโลจิสติกส์ และพลังงานโดยเฉพาะผ่านโครงการเมืองคาร์บอนต่ำ  เพื่อสร้างความพร้อมในการรองรับการลงทุน ซึ่งต้องเร่งปรับปรุง Ease of Doing Business ลดข้อจำกัด เพิ่มความเร็วในการลงทุนให้มากที่สุด เพราะนักลงทุนรอไม่ได้

รายงานข่าวจากบีโอไอ ระบุว่า ปี 2567 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 3,137 โครงการ เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน นับว่าเป็นยอดจำนวนโครงการที่สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบีโอไอ มีมูลค่าเงินลงทุน 1.13 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% สูงสุดในรอบ 10 ปี 

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมดิจิทัล 243,308 ล้านบาท 2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า 231,710 ล้านบาท

3.อุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วน 102,366 ล้านบาท 4.อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร 87,646 ล้านบาท 5.อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ 49,061 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม 832,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% ดังนี้ 1.สิงคโปร์ 357,540 ล้านบาท 2. จีน 174,638 ล้านบาท 3.ฮ่องกง 82,266 ล้านบาท 4.ไต้หวัน 49,967 ล้านบาท 5.ญี่ปุ่น 49,148 ล้านบาท

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์