ผลดำเนินงาน แบงก์รัฐ สิ้นปี 67 สินเชื่อ-เงินฝากโต แต่กำไรหด จับตา SM พุ่ง

เปิดผลการดำเนินงาน “แบงก์รัฐ” เดือน ธ.ค. 2567 สินเชื่อ-เงินฝากขยายตัว แต่กำไรและคุณภาพสินทรัพย์ยังต้องจับตา
รายงานจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของไทย (SFis) ในเดือน ธ.ค. 2567 มีแนวโน้มการเติบโตที่สำคัญในด้านสินเชื่อและเงินรับฝาก แต่ยังคงมีความท้าทายด้านกำไรสุทธิและคุณภาพสินทรัพย์ที่ต้องเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ เป็นข้อมูลของ SFIs 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหารณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
โดยสินเชื่อของระบบ SFIs ณ เดือน ธ.ค. 2567 มีมูลค่ารวม 6,251,980 ล้านบาท ซึ่งขยายตัว 4.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และขยายตัว 2.83% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่เงินรับฝากของระบบ SFIs มีมูลค่า 6,486,613 ล้านบาท ขยายตัว 4.12% YoY และขยายตัว 1.97% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนถึงการดำเนินงานที่ยังคงมีการเติบโต และแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในกิจกรรมทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม SFIs ยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญด้านความสามารถในการทำกำไร โดยกำไรสุทธิ (Net Income) ในเดือน ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 51,198 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าแล้ว กลับลดลงถึง 17.13% แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการรักษาหรือเพิ่มระดับความสามารถในการทำกำไรของระบบ SFIs
นอกจากความท้าทายด้านกำไรสุทธิ คุณภาพสินทรัพย์ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ในเดือน ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 4.59% ซึ่งลดลงจาก 5.04% ในไตรมาสก่อนหน้า ถือเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นเล็กน้อยในการบริหารจัดการ NPLs แม้ว่ายอด NPLs โดยรวมจะยังคงอยู่ในระดับ 326,237 ล้านบาท
ในขณะเดียวกัน สิ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กันคือ สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน ที่มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็น NPLs ในอนาคต ได้ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 402,608 ล้านบาท คิดเป็น 5.67% ของสินเชื่อรวม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางในคุณภาพสินเชื่อที่ต้องได้รับการดูแลและบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม
แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านคุณภาพสินทรัพย์ แต่ระบบ SFIs ยังคงมีความสามารถในการรองรับความเสี่ยง โดยมีการตั้งสำรองเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิต (Provisioning) ในระดับที่แข็งแกร่งสูงถึง 2.64 เท่าของ NPLs หรือคิดเป็นประมาณ 264% ของ NPLs ซึ่งเป็นเกราะป้องกันสำคัญในการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสินเชื่อด้อยคุณภาพ
ในด้านความแข็งแกร่งทางการเงิน SFIs มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (BIS Ratio) ในเดือน ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 15.22% ซึ่งแม้จะลดลงเล็กน้อยจาก 15.37% ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังคงอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการดำเนินงานในระยะต่อไป ขณะที่อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝาก (L/D Ratio) อยู่ที่ 96.38% โดยปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า
โดยสรุป ระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของไทยในเดือน ธ.ค. 2567 ยังคงมีการเติบโตในด้านปริมาณสินเชื่อและเงินรับฝาก ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการรักษาความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ โดยเฉพาะแนวโน้มของสินเชื่อ SM ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ SFIs ต้องให้ความสำคัญและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป