เช็กความพร้อม 'ทีมไทยแลนด์' ก่อนเจรจาการค้าสหรัฐฯ 23 เม.ย.นี้

“ทีมไทยแลนด์” เจรจาการค้ากับสหรัฐฯ 23 เม.ย.นี้ หวังต่อรองมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บจากไทยสูงถึง 36% โดยนำเสนอข้อเสนอ 5 ด้านหลัก
KEY
POINTS
- “ทีมไทยแลนด์” เตรียมเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ 23 เม.ย.นี้ หวังต่อรอง Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บจากไทยสูงถึง 36%
- พิชัยนำทีมเจรจา รมว.คลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์
- ข้อเสนอ 5 ด้านหลักครอบคลุมความร่วมมือด้านอาหารแปรรูป การเพิ่มนำเข้าสินค้าจำเป็น การเปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การคุมเข้มถิ่นกำเนิดสินค้า และการส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ
- ตั้งเป้าลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลง 50% ภายใน 5 ปี พร้อมเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในฐานะพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาว
หลังจากที่โดนัลด์ทรัมป์ ภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff)ประเทศต่างๆทั่วโลกเพื่อบังคับใช้กับประเทศที่เกินดุลการค้า หรือมีการกีดกันทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยประเทศไทยถูกประกาศเก็บภาษีในส่วนนี้ 36%
แม้ว่าขณะนี้จะมีการประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษี reciprocal tariff สำหรับประเทศต่างๆ โดยเลื่อนให้ 90 วัน ซึ่งในช่วงที่เลื่อนการจัดเก็บภาษีออกไปก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ให้ประเทศต่างๆเข้ามาเจรจากับสหรัฐฯในเงื่อนไขที่จะต้องมีข้อเสนอที่สหรัฐฯพึงพอใจ โดยประเทศต่างๆได้ส่งตัวแทนรัฐบาล และข้อเสนอต่างๆในการเจรจากับสหรัฐฯ
สำหรับประเทศไทยทีมเจรจาที่เรียกว่า “ทีมไทยแลนด์” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่าประเทศไทยได้คิวในการเจรจากับสหรัฐฯในวันที่ 23 เม.ย.นี้ โดยได้มอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี แระมว.คลัง เป็นหัวหน้าคณะไปเจรจา โดยมั่นใจว่าในรายละเอียดที่มีการเตรียมการไว้ข้อเสนอของประเทศไทยนั้นมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะพูดคุยต่อรองกับทางสหรัฐฯเพื่อให้ได้ประโยชน์กับทั้งสองประเทศแบบ WIN WIN
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่าการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯจะเป็นการหารือกันในระดับรัฐมนตรี โดยในฝั่งของไทยหัวหน้าคณะพูดคุยเจรจา จะเป็นนายพิชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ส่วนในฝั่งของสหรัฐฯคนที่จะมาเจรจาพูดคุยด้วยคือ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งในส่วนนี้ถือว่าเป็นข่าวดีในด้านบวกกับการเจรจาการค้าของไทยเนื่องจาก รมว.คลังของสหรัฐฯคนปัจจุบันมีแนวคิดในการที่จะเจรจากับประเทศคู่ค้า 14 ประเทศให้สำเร็จ เพื่อลดผลกระทบการที่สหรัฐฯปรับขึ้นภาษีจีน
นอกจากความพร้อมในเรื่องของบุคคลในการเดินทางไปเจรจาและหารือกับสหรัฐฯ ประเทศไทยได้มีการเตรียมข้อเสนอไปให้สหรัฐฯพิจารณา โดยทำเป็นลายลักษณ์อักษร ในลักษณะของ Executive Summary ให้ทางสหรัฐฯพิจารณา ประกอบไปด้วยสาระสำคัญ 5 ข้อที่เป็นข้อเสนอให้กับสหรัฐฯพิจารณา ซึ่งเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมคือลดการเกินดุลกับสหรัฐฯให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี และส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นพันธมิตรในระดับยุทธศาสตร์มากขึ้นในอนาคต โดยข้อเสนอ 5 ข้อได้แก่
1. เสริมความร่วมมือในธุรกิจอาหารแปรรูปไทยและสหรัฐฯ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการใช้จุดแข็งของทั้งสองประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปและส่งออกต่อไปยังตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีการหารือร่วมกับภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
2. เพิ่มปริมาณการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็นจากสหรัฐฯ อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของภาคเศรษฐกิจในประเทศ
3. เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวนกว่า 11,000 รายการ ลงประมาณ 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งยังมีการปรับลดโควตาและข้อจำกัดต่าง ๆ พร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์
4. บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเคร่งครัด ไทยจะใช้มาตรการเข้มงวดในการตรวจสอบและบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า "Made in Thailand" โดยสินค้าจากประเทศที่สามซึ่งส่งออกผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ โดยจะเพิ่มการติดตามและเฝ้าระวัง เพื่อลดความเสี่ยงและรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ
และ 5. ส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐฯ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนในฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันเอกชนไทยมีการลงทุนในสหรัฐฯ แล้วกว่า 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ต้องเอาใจช่วยทีมไทยแลนด์ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯเพื่อลดอัตราภาษีที่สหรัฐฯจะจัดเก็บจากเราที่ 36% ลงมา และให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในลักษณะที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายมากที่สุด