บสย. หารือ สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย ดันมาตรการ "กระบะพี่ มีคลังค้ำ"

บสย. หารือ สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย ดันมาตรการ "กระบะพี่ มีคลังค้ำ"

บสย. หารือ สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย ดันมาตรการ "กระบะพี่ มีคลังค้ำ" ปลดล็อกสินเชื่อ SMEs ปลุกยอดซื้อรถกระบะ 6,250 ราย

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้จัดการประชุมหารือร่วมกับสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย และผู้แทนจากกลุ่มบริษัทลีสซิ่งชั้นนำ เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาโครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ "บสย. SMEs PICK-UP" ภายใต้มาตรการ "กระบะพี่ มีคลังค้ำ" ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับซื้อรถกระบะเพื่อใช้ประกอบอาชีพได้ง่ายขึ้น

นายสิทธิกร กล่าวว่า มาตรการ "กระบะพี่ มีคลังค้ำ" ถือเป็นนโยบายสำคัญของภาครัฐที่มุ่งหวังลดภาระทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ SMEs ด้วยการมอบสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ ได้แก่ ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสำหรับ 3 ปีแรก โดยรัฐบาลและกระทรวงการคลังเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แทน ส่วนในปีที่ 4-7 จะคิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันในอัตราที่ต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ของภาระหนี้ค้ำประกันที่คงเหลือในแต่ละปี

นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าวยังให้ ระยะเวลาค้ำประกันนานสูงสุด 7 ปี หรือ 84 งวด โดยมีวงเงินค้ำประกันสูงสุดถึง 1.5 ล้านบาทต่อราย ภายใต้วงเงินค้ำประกันรวมในระยะแรกจำนวน 5,000 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมายหลักคือ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีความจำเป็นต้องใช้รถกระบะใหม่เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกร ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ขนส่งสินค้า ค้าขาย หรือธุรกิจฟู้ดทรัค เป็นต้น

นายสิทธิกร กล่าวว่า การหารือร่วมกับสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้โครงการ "กระบะพี่ มีคลังค้ำ" เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการรถกระบะเป็นเครื่องมือทำมาหากิน และยังเป็นการช่วยพลิกฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

ทั้งนี้ บสย. ได้เริ่มเปิดรับคำขอค้ำประกันภายใต้มาตรการ "กระบะพี่ มีคลังค้ำ" ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา และจะสิ้นสุดการรับคำขอภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 โดยคาดการณ์ว่ามาตรการนี้จะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการซื้อรถกระบะใหม่ เข้าถึงสินเชื่อได้กว่า 6,250 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบกว่า 5,000 ล้านบาท และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 21,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะช่วยฟื้นฟูผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศได้มากกว่า 2,500 บริษัท