มาตรการภาษีสหรัฐ - ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ กระทบตลาดน้ำมันโลก

สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีปัจจัยกดดันจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการภาษีของสหรัฐที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ
ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ลดลงจากระดับเฉลี่ย 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในเดือนกุมภาพันธ์ สู่ 69-72 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในเดือนมีนาคม 2568 จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ประเด็นสำคัญมาจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ ที่ได้รับอิทธิพลจากการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งมีสหรัฐเป็นตัวกลาง โดยตลาดจับตาผลการเจรจา Peace Talks เพื่อยุติสงครามที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี
รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ของสหรัฐต่อกองเรือน้ำมันอิหร่าน ที่มุ่งเป้าที่ "Shadow Fleet" หรือกองเรือเงาที่ช่วยอิหร่านส่งออกน้ำมัน โดยมีจีนเป็นปลายทางหลัก ซึ่งส่งผลให้การผลิตน้ำมันดิบของอิหร่านลดลง 500,000–600,000 บาร์เรลต่อวัน ในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ ขณะที่ด้านความต้องการใช้น้ำมันดิบ ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐที่ปรับจาก 10% เป็น 25% สร้างแรงกดดันต่อประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะ แคนาดา เม็กซิโก และยุโรป
โดยสหรัฐได้ประกาศใช้มาตรการเรียก เก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลต่อ เศรษฐกิจโลก และทำให้การค้าโลกชะลอตัว หากการค้าโลกลดลง 1% คาดว่า การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันจะหดตัวลง 150,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ IEA ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันลง 80,000 บาร์เรลต่อวัน เหลือ 1.03 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากสงครามการค้านี้
สำหรับแนวโน้ม ราคาน้ำมันดิบ เดือนเมษายน-พฤษภาคม จะมีความผันผวนอยู่ในช่วง 65-75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากการที่ OPEC+ ทยอยเพิ่มกำลังการผลิตรวม 18 เดือน ตั้งแต่เมษายน 2568 ถึงกันยายน 2569 โดยคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตประมาณเดือนละ 138,000 บาร์เรลต่อวัน
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่อาจกระทบต่อราคาน้ำมัน เช่น ความไม่สงบในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกลุ่มฮามาสและอิสราเอล การโจมตีเรือขนส่งสินค้าบริเวณช่องแคบ Bab al-Mandab ของกลุ่ม Houthi ในเยเมน การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED เพื่อรับมือมาตรการทางภาษีของสหรัฐ







