จุดเปลี่ยน ‘FDI’ ลงทุนไทย จีน – สิงคโปร์ แซงญี่ปุ่น ชัดเจน

จุดเปลี่ยน “FDI” ในไทย: เมื่อจีน-สิงคโปร์ แซงญี่ปุ่นขึ้นแท่นนักลงทุนเบอร์หนึ่ง โครงสร้าง FDI จากเดิมที่ญี่ปุ่นครองแชมป์ปัจจุบันจีนและสิงคโปร์ เป็นผู้นำ FDI
KEY
POINTS
- สศช.เปิดข้อมูลจุดเปลี่ยน “FDI” ในไทย: เมื่อจีน-สิงคโปร์ แซงญี่ปุ่นขึ้นแท่นนักลงทุนเบอร์หนึ่ง
- โครงสร้างเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในไทยพลิก จากเดิมที่ญี่ปุ่นครองแชมป์มานานนับทศวรรษ
- จีนและสิงคโปร์กลายเป็นผู้นำการลงทุนโดยตรงในไทย โดยญี่ปุ่นลดสัดส่วนลงตั้งแต่ปี 2554 หลังน้ำท่วมใหญ่
- รูปแบบการลงทุนเปลี่ยนจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคบริการมากขึ้น สะท้อนทิศทางเศรษฐกิจไทยที่กำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัว
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment - FDI) เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ แต่ยังนำมาซึ่ง เทคโนโลยีขั้นสูง, องค์ความรู้ใหม่, และ การจ้างงาน ในระดับท้องถิ่น
ในโลกยุคเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ ประเทศต่าง ๆ แข่งขันกันดึงดูด FDI เพื่อสร้างความได้เปรียบในการพัฒนาอุตสาหกรรมและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไทยในฐานะศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน จึงมีศักยภาพสูงในการเป็นฐานการผลิต การกระจายสินค้า และการลงทุนระยะยาว ทั้งนี้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลง FDI ในไทย ในแง่ของประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย จากเดิมที่นักลงทุนญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนอันดับ 1 เปลี่ยนเป็นจีน และสิงคโปร์ที่มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นชัดเจน
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยข้อมูลเรื่อง การเปลี่ยนแปลง "โครงสร้างการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สำคัญในประเทศไทย" โดยระบุว่าจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ในช่วงปี 2543 -2554 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤตอุทกภัย เม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นที่เข้ามาในประเทศไทยอยู่ในระดับที่สูงและครอบครองสัดส่วนอันดันดับหนึ่งของวงเงินลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อพิจารณาโครงสร้างสัดส่วนเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เฉพาะ 5 ประเทศผู้ลงทุนหลัก ในไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ สหรัฐฯ และฮ่องกง พบว่า ในช่วงปี 2543 - 2554 เม็ดเงินลงทุนเฉลี่ยของญี่ปุ่นมีสัดส่วนคิดเป็น 61.1% รองลงมาเป็นสัดส่วนเม็ดเงินจากสิงคโปร์ สหรัฐฯ และจีน อยู่ที่ 19.7% 8.9% และ 7.7% ตามลำดับ
เม็ดเงินญี่ปุ่นทยอยลดตั้งแต่ปี 54
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากปี 2554 เป็นต้นมา เม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นลดลงอย่างต่อเนื่องจนปี 2558 ซึ่งเป็นปีแรกที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและภายหลังจากปี 2558 พบว่า สิงคโปร์และจีน มีบทบาทในการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 เม็ดเงินลงทุนของจีนและสิงคโปร์อยู่ที่ 49,591 ล้านบาท และ 30,139 ล้านบาทตามลำดับ ในขณะที่เม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นอยู่ที่ 12,521ล้านบาท
และเมื่อพิจารณาโครงสร้างเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในช่วงปี 2555 - 2567 สัดส่วนเงินลงทุนเฉลี่ยของสิงคโปร์และจีนเพิ่มขึ้นเป็น 31.8% และ 31.2% ตามลำดับ ขณะที่สัดส่วนเงินลงทุนเฉลี่ยของญี่ปุ่นอยู่ที่ 25.8% ส่วนเงินลงทุนเฉลี่ยจากสหรัฐฯ และฮ่องกง มีสัดส่วนอยู่ที่ 6.5% และ 4.6% ตามลำดับซึ่งใกล้เคียงกับ 8.9% และ 2.6% ในช่วงปี 2543 – 2554 ที่ผ่านมา
เมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำแนกตามภาคการผลิตและตามสัญชาติ พบว่า ในช่วงปี 2543-2554 โครงสร้างการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดยมีสัตส่วนอยู่ที่ 69.9% สัดส่วนการลงทุนจาก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน สหรัฐฯ และฮ่องกง อยู่ที่ 48.7% 11.1% 5.3% 4.2% และ 0.3% ตามลำดับ
ในขนะที่สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภาคบริการอยู่ที่ร้อยที่ 30.0% โดยภาคบริการที่สำคัญ เช่น บริการทางการเงิน การขายส่ง ขายปลึกและอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ในขณะที่สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภาคเกษตรกรรมอยู่ที่ 0.4%
โครงสร้างลงทุนเปลี่ยนจากอุตฯเป็นบริการ
อย่างไรก็ดี ภายหลังจากปี 2554 เป็นต้นมา โครงสร้างการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยมีการเปลี่ยนแปลงจากภาคอุตสาหกรรมเป็นภาคบริการเพิ่มมากขึ้น โดยโครงสร้างการลงทุน โดยตรงจากต่างประเทศในช่วงปี 2555 - 2567 พบว่า สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศภาคอุตสาหกรรมลดลงเหลือเพียง 42.9% เมื่อพิจารณารายประเทศพบว่า สัดส่วนเงินลงทุนจากจีนและสิงคโปรในภาคการผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 17.7%และ10.7% ตามลำดับ ในขณะที่สัดส่วนเม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นลดลงเหลือเพียง 11.9% เท่านั้น ส่วนสัดส่วนเงินลงทุนจากสหรัฐฯ และฮ่องกงอยู่ที่ 1.6% และ 0.8% ตามลำดับ
สำหรับสัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภาคบริการเพิ่มขึ้นเป็น 57.1% ในขณะที่สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภาคเกษตรกรรมมีเพียง 0.1% เท่านั้น
ต้องจับตาดูว่าการเปลี่ยนแปลง FDI ในไทยที่เกิดขึ้นหลายปีที่ผ่านมาทั้งในแง่ของประเทศที่เข้ามาลงทุน และเปลี่ยนการลงทุนจากอุตสาหกรรมมาเป็นภาคบริการมากขึ้นจะส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยในระยะต่อไปอย่างไร