เศรษฐกิจคอร์รัปชัน: ความสูญเสียและต้นทุนแฝงของทุกคน

เศรษฐกิจคอร์รัปชัน: ความสูญเสียและต้นทุนแฝงของทุกคน

กรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้จุดประกายและเปิดเผยให้เห็นถึงปัญหาที่อาจฝังรากลึกกว่าที่หลายคนคิด

อาคารสูง 30 ชั้นมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ถล่มลงมาเพียงตึกเดียวในประเทศ ทำลาย 2 สถิติโลกฐานะอาคารสูงที่สุดที่ถล่มจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่มที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากที่สุด

สร้างความสูญเสียกับชีวิตและทรัพย์สินมหาศาล เผยให้เห็นถึงความผิดปกติในหลายกระบวนการ เช่น การแก้ไขแบบแปลนและลดสเปก การก่อสร้างล่าช้า มีวิศวกรถูกนำชื่อไปอ้างและปลอมลายเซ็น ฯลฯ ทั้งที่เป็นโครงการของหน่วยงานผู้ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของประเทศ

ประชาชน 98% เชื่อตึก สตง. ถล่มเพราะคอร์รัปชัน

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) (ACT) ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนผ่านระบบ D-vote ระหว่างวันที่ 7-10 เมษายน 2568 จากกลุ่มตัวอย่าง 182 คน กระจายทุกช่วงอายุและภูมิภาค (ค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 87.0)

พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 98% เชื่อว่าเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่มเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน โดยมองว่าเกิดจากวัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานและกำหนดแบบก่อสร้างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้มีอำนาจ เช่น ต้องการเงินทอน 

นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามยังเรียกร้องให้มีการลงโทษผู้อยู่เบื้องหลังอย่างจริงจังไม่ใช่เพียงแค่จับแพะ เสนอให้แบล็กลิสต์บริษัทที่เกี่ยวข้องห้ามรับงานใดอีก และจำคุกผู้เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันนี้ตลอดชีวิตโดยไม่ลดหย่อนโทษ

ผลนี้สะท้อนความรู้สึกของประชาชนที่เบื่อหน่ายกับการคอร์รัปชันและผู้กระทำผิดไม่ถูกลงโทษ ความไม่ไว้วางใจต่อกระบวนการภาครัฐ ความเชื่อมั่นว่าการทุจริตเป็นสาเหตุหลักของปัญหา และความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน

ความเสียหายหลายแสนล้านคือต้นทุนแฝงของทุกคน

การคอร์รัปชันมักอาศัยช่องทางตามระเบียบที่ดูผิวเผินเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย แต่มีการพลิกแพลงเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคพวก เช่น การล็อคสเปค ฮั้วประมูล ทอนเงินเป็นเปอร์เซนต์ของมูลค่างาน ฯลฯ มีการร่วมมือกันหลายฝ่ายระหว่าง ข้าราชการ นักการเมือง นายทุน หรือบางคนที่รู้เห็นแต่เงียบเฉย ซึ่งดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศไทยตลอด 20 ปีอยู่ในช่วง 32-38 คะแนนจาก 100 โดยปี 2567 อยู่ที่ 34 คะแนน หรืออันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือว่ามีระดับการคอร์รัปชันที่สูงและอยู่ในสภาวะย่ำอยู่กับที่ โดย ACT ประเมินไว้ว่าประเทศไทยสูญเสียเม็ดเงินจากการคอร์รัปชันสูงถึง 5 แสนล้านบาทต่อปี หรือราว 14% ของงบประมาณประเทศ!

จำนวนเงินมหาศาลนี้ นอกจากเป็นค่าเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนแล้ว ยังส่งผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม จากการที่ทำให้การใช้จ่ายของภาครัฐมีต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้เกิดโครงการที่ไม่จำเป็นหรือด้อยประสิทธิภาพ เกิดความบิดเบือนในการจัดสรรทรัพยากรประเทศ และเป็นปัจจัยที่ลดเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมักหลีกเลี่ยงประเทศที่มีการทุจริตสูง

สำหรับภาคธุรกิจ การคอร์รัปชันนำไปสู่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในรูปแบบของค่าสินบนที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้งานหรือการอนุมัติที่รวดเร็วขึ้น การดำเนินการที่ซับซ้อนและล่าช้า บิดเบือนการแข่งขันในตลาดให้เกิดการผูกขาดและกีดกันผู้ประกอบการที่ไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการทุจริต จนถึงลดแรงจูงใจในการสร้างนวัตกรรมหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นำไปสู่การฉุดรั้งเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ในขณะที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตลดลงจากบริการสาธารณะด้อยคุณภาพ การเข้าถึงบริการที่ไม่เท่าเทียม ค่าครองชีพจากสินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาสูงจากต้นทุนแฝงที่เกิดจากการทุจริตและถูกผลักภาระมาให้กับผู้บริโภค และเกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมจากการเอื้อประโยชน์กับพวกพ้องจนประชาชนทั่วไปเสียโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ

4 แนวทางยกระดับปราบคอร์รัปชัน

1. บังคับใช้กฎหมายให้เข้มแข็ง: ประเทศไทยต้องปรับปรุงแนวทางการบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีบทลงโทษรุนแรงจนผู้คิดจะทำเกิดความยับยั้งชั่งใจ และไม่มีการละเว้นไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีอำนาจแค่ไหนก็ตาม โดยอาจศึกษาเทียบเคียงกับประเทศที่มีอันดับ CPI ดีกว่าเรา

2. เพิ่มความโปร่งใสในข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง: ปรับปรุงระบบข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้สามารถได้รับการตรวจสอบอย่างโปร่งใส โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ต้องมีการเปิดเผยสัญญาและข้อมูลครบถ้วน รวดเร็ว เข้าถึงง่าย เอกสารที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอนต้องอยู่ในรูปแบบไฟล์พิมพ์ที่เครื่องจักรอ่านได้ (Machine Readable) ที่สามารถนำไปประมวลผลและวิเคราะห์เชื่อมโยงได้

3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน: การตรวจสอบจากภาคประชาชนเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการทุจริต โดย ACT ได้เสนอให้ทุกโครงการเมกะโปรเจกต์ (1,000 ล้านบาทขึ้นไป) ต้องผ่านข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ที่ประชาชนสามารถร่วมสังเกตการณ์และเข้าถึงข้อมูลได้ตั้งแต่ต้นจนจบโครงการ

4. ใช้เทคโนโลยี และ AI เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ: เทคโนโลยีสามารถเพิ่มประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นน้ำ คือช่องทางการแจ้งเบาะแสการทุจริตที่ปลอดภัย การแสดงความคืบหน้าของกระบวนการแก้ไข จนถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากและซับซ้อน เพื่อตรวจจับพฤติกรรมและรูปแบบการทุจริตจากเอกสารจัดซื้อจัดจ้าง รายงานทางการเงิน บันทึกการประชุม รายงานการสืบสวนสอบสวน ฯลฯ โดยสามารถวิเคราะห์และเรียนรู้จากข้อมูลในอดีต เพื่อปรับปรุงความแม่นยำในการตรวจจับที่เคยถูกมองข้ามจากกระบวนการตรวจสอบแบบเดิม