คลัง-ธปท.ผนึกรับมือทรัมป์ เล็งช่วยสภาพคล่องผู้ส่งออก

คลัง-ธปท.ผนึกรับมือทรัมป์ เล็งช่วยสภาพคล่องผู้ส่งออก

“พิชัย” จับเข่าคุย “เศรษฐพุฒิ” เตรียมมาตรการดูแลสภาพคล่องผู้ส่งออก ยันเตรียมมาตรการไว้พร้อมสำหรับผลกระทบที่เกิดกับผู้ประกอบการ “คลัง-ธปท.” พร้อมทำงานใกล้ชิดขึ้นเพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ “คลัง” ปัดแนวคิดนำทุนสำรองประเทศมาใช้รับมือนโยบายทรัมป์ เผยหารือสหรัฐหลังอีสเตอร์ พร้อมนำเข้า LNG 1 ล้านตัน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีกำหนดเดินทางเยือนสหรัฐในฐานะหัวหน้าคณะเจรจากับสหรัฐ โดยก่อนที่จะเดินทางไปสหรัฐได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ การรับมือผลกระทบจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ

นายพิชัย ได้หารือกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 16 เม.ย.2568 โดยมีนายศุภวุฒิ สายเชืื้อ ที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐ น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี 

รวมถึงมีน.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. รวมถึง น.ส.พิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท.เข้าหารือด้วย

นายพิชัย กล่าวหลังการหารือว่า ผลกระทบการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐผลกระทบหลายประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศกำลังประเมินผลกระทบและวางแผนแก้ปัญหา ขณะที่ไทยกำลังดูผลกระทบหลาย Scenario เพราะไทยเป็นประเทศส่งออกที่ไม่กระทบเฉพาะการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ แต่อาจกระทบการส่งออกไปประเทศคู่ค้าอื่นด้วย ซึ่งผลกระทบลักษณะนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจมาก 

ทั้งนี้ การหารือกับผู้ว่าการ ธปท.ครอบคลุมประเด็น ดังนี้

1.ผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐ ซึ่งส่งผลต่อตลาดเงิน ตลาดทุน ผลตอบแทนพันธบัตร (ยีลด์) ในการลงทุน ซึ่งได้รับฟัง ธปท.ถึงแนวทางการเตรียมรับมือ 

2.ผลกระทบระยะถัดไปต่อผู้ประกอบการส่งออก ซึ่งการขึ้นภาษีกระทบคำสั่งซื้อสินค้าที่ชะลอตัวลง และอาจกระทบสภาพคล่องผู้ประกอบการ ดังนั้น มาตรการที่จะรองรับต้องเตรียมพร้อมประเด็นนี้ด้วย 

“เราคาดว่าผลกระทบจะเกิดกับภาคการส่งออก จากคำสั่งซื้อที่ชะลอตัวลง กระทบกับเงินหมุนเวียน และสภาพคล่องของผู้ประกอบการที่อาจจะกระทบเป็นวงกว้าง ซึ่งจะต้องเตรียมมาตรการในส่วนนี้เตรียมไว้” นายพิชัยกล่าว 

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังและ ธปท.ได้ข้อสรุปที่จะทำงานร่วมกันใกล้ชิดขึ้น เพื่อหามาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งต้องเตรียมมาตรการให้พร้อม โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นมีลักษณะแตกต่างกัน และผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมอาจต้องการมาตรการช่วยเหลือแตกต่างกัน 

ส่วนประเด็นสภาพคล่องของประเทศไทยเพียงพอหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ได้หารือกันตลอดว่าสภาพคล่องของประเทศไทยมีเพียงพอ 

ขณะที่ประเด็นดอกเบี้ยนโยบาย นายพิชัย กล่าวว่า ไม่พูดกันในที่นี้เพราะว่าหน้าที่ในการดูแลดอกเบี้ยนโยบายนั้นเป็นของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่อยู่ในการดูแลของ ธปท.ซึ่งจะมีการประชุมในสัปดาห์หน้า ซึ่งก็คาดว่า กนง.จะมีการติดตามแนวโน้มนโยบายของประเทศต่างๆด้วยว่ามีทิศทางอย่างไร 

สำหรับเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนนั้นคงต้องดูเรื่องขององค์ประกอบต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน เช่นเรื่องของเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ซึ่งแต่ละช่วงเวลามีเหตุการณ์และองค์ประกอบต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันออกไป

ส่วนการลงทุนก็จะเปลี่ยนไป ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องติดตามเพราะบางคนอาจลงทุนไปแล้วหรือยังไม่ลงหรือลงครึ่งๆ ตรงนี้เราต้องสำรวจปัญหาทั้งหมด ภาพใหญ่คือต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย

"พิชัย" นำทีมถกสหรัฐหลังอีสเตอร์

นายพิชัย เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้านเพื่อเข้าเจรจาผ่อนปรนมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐ ซึ่งคณะผู้เจรจาเตรียมเดินทางไปสหรัฐ ครบองค์ประชุม ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น โดยเบื้องต้นมีกำหนดวันเข้าพบตัวแทนสหรัฐภายในสัปดาห์หน้าหลังวันอีสเตอร์ (20 เม.ย.นี้)

นายพิชัย กล่าวว่า ก่อนการเดินทางเยือนสหรัฐต้องหารือแต่ละภาคส่วนให้ชัดเจน ซึ่งระหว่างนี้จะหารือหน่วยงานในประเทศ เพื่อลดและปรับแก้อุปสรรคทางการค้ากับสหรัฐที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff) ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่เตรียมไปเจรจาหารือกับสหรัฐ 

“การหารือกับสหรัฐครั้งแรกคงยังไม่คุยกันเรื่องข้อเสนอจากประธานที่ปรึกษาอาเซียน เพราะในส่วนนั้นเป็นข้อเสนอการรวมกลุ่มของอาเซียนในการเจรจา ซึ่งปัญหาแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ขณะที่การหารือของทีมไทยแลนด์จะเป็นข้อเสนอจากไทยที่ต้องไปคุยกับสหรัฐเพราะปัญหาแต่ละประเทศไม่เท่ากัน” 

นายพิชัย กล่าวว่า แนวทางที่ไทยเจรจาสหรัฐเป็นไปในทิศทางการทำงานร่วมกัน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์และได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งที่ผ่านมาไทยทบทวนแนวทางการสร้างสมดุลการค้าระหว่างกัน จากที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 72%

พร้อมนำเข้า LNG 1 ล้านตัน

นอกจากนี้ นายพิชัย ได้หารือด้านพลังงานโดยมีผู้บริหารจากทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ กรมสรรพสามิต บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือประเด็นการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และก๊าซอีเทน เพื่อทำสัญญาระยะยาว

ขณะที่ภาคพลังงานโดย ปตท.ในฐานะผู้จัดหาพลังงานงานได้ทำสัญญาซื้อก๊าซ LNG จากเมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐ ซึ่งเริ่มจัดส่งปี 2569 ปริมาณ 1 ล้านตัน มูลค่าปีละ 500 ล้านดอลลาร์ รวมถึงมีสัญญาซื้อขายก๊าซอีเทน (Ethane) เพิ่ม 400,000 ตัน มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ทั้งนี้ ไทยมีความต้องการใช้พลังงานแลต้องนำเข้าก๊าซ LNG ราว 10 ล้านตัน ซึ่งต้องจัดหาจากหลายแหล่งตามสัญญาระยะยาว เพื่อทยอยนำเข้า โดยภายใน 5 ปีข้างหน้า จะมีสัญญาที่จะหมดอายุ ซึ่ง ปตท.ต้องมีแผนจัดหาจากแหล่งทั่วโลก โดยคํานึงราคาที่แข่งขันได้จากตะวันออกกลางและอาเซียน รวมถึงเป็นไปได้ที่จะเจรจาสัญญาซื้อก๊าซ LNG จากสหรัฐ 1 ล้านตัน

รวมทั้งระยะต่อไปไทยมีความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานทั้งท่าเรืออุตสาหกรรมและถังบรรจุก๊าซ LNG และ ปตท.มีแผนนำเข้ามาเพื่อขาย LNG ในภูมิภาค ซึ่งเป็นไปได้ที่ไทยจะนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มได้อีก

“คลัง” ยืนยันไม่นำทุนสำรองมาใช้

ส่วนประเด็นจะนำเงินสำรองระหว่างประเทศมาใช้หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่อยู่ในความคิดเพราะเงินสำรองที่มีอยู่ใช้เพื่อสนับสนุนสภาพคล่องในการนำเข้าและส่งออกสินค้า ยืนยันว่าไม่มีนโยบายนำเงินสำรองระหว่างประเทศมาใช้ ซึ่งเมื่อภาครัฐจะทำนโยบายอะไรจะดำเนินการผ่านกระบวนการงบประมาณ เช่น การเพิ่มขาดดุลงบประมาณ

ขณะที่สถานการณ์ค่าเงินบาท ยืนยันว่า ไม่มีแนวทางไปแทรกแซงค่าเงินบาท โดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

ทั้งนี้ เมื่อเกิดสถานการณ์ภาษีทรัมป์ทำให้มีผลต่อการปล่อยสินเชื่อ อาทิ ผู้ส่งออก-นำเข้า ที่ชะลอการตัดสินใจและดูท่าที ซึ่งอาจต้องมีมาตรการอะไรเข้าไปช่วยเหลือผู้ส่งออกและคู่ค้าที่ได้รับผลกระทบตรงนี้

นายพิชัย กล่าวว่ารัฐบาลจับตาดูทิศทางการดำเนินนโยบายของต่างประเทศใกล้ชิด เพราะมีความไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไปมา ทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ

“ประเทศไทยยังไม่ขายพันธบัตรสหรัฐ ซึ่ง ธปท.คงวิเคราะห์ว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่เบื้องต้นยังไม่มีการขาย แปลว่ายังยึดนโยบายและเชื่อมั่นในสหรัฐ”