ศุภวุฒิ ชี้ นโยบายพึ่งพาตนเองของทรัมป์อาจทำลายสถานะดอลลาร์

"ศุภวุฒิ" เตือนนโยบายพึ่งพาตนเองของทรัมป์อาจทำลายสถานะดอลลาร์สหรัฐ เปรียบนโยบายการค้าเหมือนเกมโป๊กเกอร์ที่ทรัมป์เชื่อว่าตนมีไพ่เหนือกว่า ชี้อาจเกิดวิกฤติเหมือนช่วงกฎหมายภาษี Smoot-Hawley ปี 1930 ที่ทำให้การค้าโลกลดลงถึงสองในสาม
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ และประธานกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) “ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ” กล่าวในงานเสวนาของสมาคมนักข่าวต่างประเทศ ประจำประเทศไทย (FCCT) เมื่อวานนี้ (10 เม.ย.68) ว่า นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินหลักของโลก
ดร.ศุภวุฒิ เปรียบเทียบสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันกับ "การเล่นโป๊กเกอร์" โดยชี้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเล่นเกมโป๊กเกอร์ขนาดใหญ่ด้วยเป้าหมายที่จะ "ชนะครั้งใหญ่" และ "ปรับเปลี่ยนทุกสิ่งใหม่" โดยเชื่อว่าสหรัฐ มีไพ่เหนือกว่าประเทศอื่น
"ทรัมป์เชื่อว่าสหรัฐอเมริกามีไพ่ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากมีตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าการบริโภคภาคเอกชนของสหรัฐ เทียบเท่ากับการบริโภครวมของจีน เยอรมนี สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น อินเดีย ฝรั่งเศส แคนาดา และอิตาลี" ดร.ศุภวุฒิกล่าว
นอกจากนี้ สหรัฐ ยังเป็นผู้นำเข้าสินค้าอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็น "ใช้ประโยชน์" หรือเครื่องมือต่อรองสำคัญ อีกทั้งยังมีอำนาจในการให้ความคุ้มครองทางทหาร ซึ่งเป็นอีก "ไพ่" ที่สามารถใช้ต่อรองกับประเทศคู่ค้าได้
ดร.ศุภวุฒิ อธิบายว่ากลยุทธ์ของทรัมป์คือ การใช้มาตรการกีดกันทางการค้า เช่น การขึ้นภาษีนำเข้า เพื่อกดดันให้ประเทศอื่นๆ ยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐ "ทรัมป์คิดว่าตนเองมีไพ่ทั้งหมดอยู่ในมือ ในขณะที่เขาเคยกล่าวกับประธานาธิบดีเซเลนสกี ว่า 'คุณไม่มีไพ่ที่จะเล่น' ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา"
ทรัมป์ De-dollarization
- อย่างไรก็ตาม ดร.ศุภวุฒิ เตือนว่า หากนโยบายของทรัมป์เป็นไปในลักษณะพึ่งพาตนเอง (autarkic) อย่างแท้จริง โดยสหรัฐ ไม่ต้องการทำการค้ากับประเทศอื่นๆ เลย ก็อาจทำให้เกิดคำถามว่าทำไมจึงยังต้องมีเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลักของโลก ในเมื่อสหรัฐ ไม่ได้ทำการค้ากับประเทศอื่นแล้ว
ทั้งนี้ ดร.ศุภวุฒิได้เชื่อมโยงสถานการณ์ปัจจุบันกับกฎหมายภาษี Smoot-Hawley ปี 1930 ซึ่งเป็นกฎหมายที่นำไปสู่การลดลงของปริมาณการค้าโลกอย่างมากถึงสองในสาม และต้องใช้เวลานานถึง 50 ปีหลังจากการก่อตั้งความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากร และการค้า (GATT) และองค์การการค้าโลก กว่าที่การค้าโลกจะกลับสู่ระดับเดิมได้
"หากประธานาธิบดีทรัมป์ดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าอย่างรุนแรงจนการค้าโลกตกต่ำเหมือนในยุค Smoot-Hawley และสหรัฐ เองก็ไม่ได้ทำการค้ากับประเทศอื่น ความจำเป็นในการใช้เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศก็จะลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่การที่เงินดอลลาร์สหรัฐสูญเสียสถานะสกุลเงินหลักของโลก" ดร.ศุภวุฒิกล่าว
สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทย ดร.ศุภวุฒิ มองว่าไทยไม่จำเป็นต้อง "gravel" (ประจบสอพลอ) สหรัฐ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่การมี "timing" ที่เหมาะสมในการเจรจาจะเป็นสิ่งสำคัญ โดยรัฐบาลไทยมีแผนที่จะนำเสนอแนวทางที่แสดงให้เห็นว่าไทยยินดีที่จะช่วยเหลือผู้ส่งออกของสหรัฐ โดยการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ทรัมป์ และทีมงานของเขาชื่นชอบ
นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิ ยังชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในกลยุทธ์ระหว่างสหรัฐ และจีน โดยในขณะที่ทรัมป์กำลังเล่นโป๊กเกอร์ จีนกลับกำลังเล่นเกม "tit for tat" (ตาต่อตา ฟันต่อฟัน) ซึ่งมีลักษณะของการเป็นมิตร ไม่เริ่มการโจมตีก่อน ให้อภัย ตอบโต้เมื่อถูกกระทำ และมีความชัดเจน
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในสถานการณ์ที่ไทยอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ไทยจำเป็นต้องหาทางเลือกอื่น โดยท่านได้กล่าวถึงกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคที่มีอยู่ เช่น RCEP (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค) และ CPTPP (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) ว่าจะมีความสำคัญสำหรับไทยในการพยายาม เบี่ยงเบนการค้าไปยังประเทศ และภูมิภาคอื่นๆ ท่านมองว่าหากการค้ากับสหรัฐ ได้รับผลกระทบ ไทยอาจจะต้องพึ่งพากรอบความร่วมมือเหล่านี้มากขึ้นเพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการส่งออก
อ้างอิง: FCCT Trump’s global trade war What will it mean for Thailand and the region
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







