มอเตอร์โชว์'68 พุ่ง 44.8% หวั่นแบงก์ดับฝันคนจอง ลุ้นรัฐค้ำสินเชื่อ

มอเตอร์โชว์'68 พุ่ง 44.8% หวั่นแบงก์ดับฝันคนจอง ลุ้นรัฐค้ำสินเชื่อ

ยอดจองในงาน "มอเตอร์โชว์'68" เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 44.8% จับตาสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ลุ้นโครงการรัฐบาลค้ำสินเชื่อ

KEY

POINTS

  • แม้ยอดจองรถงานมอเตอร์โชว์ 2025 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 44.8% แต่ยังต้องจับตาปัจจัยการอนุมัติสินเชื่อของของสถาบันการเงิน ว่าจะยังคงมีความเข้มงวดเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ 
  • ต้องจับตานโยบายภาครัฐค้ำปล่อยสินเชื้อฟื้นยอดซื้อ จึงอยากเสนอให้ภาครัฐดึงธุรกิจการเงินที่ปล่อยสินเชื่อแก่ประชาชน แต่ไม่ได้รับเงินฝาก (นอนแบงก์) และบริษัทสินเชื่อรถยนต์ต่างๆ เข้าโครงการรถกระบะพี่ มีคลังค้ำ
  • แม้ว่ายอดจองในงานมอเตอร์โชว์ปีนี้จะมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังวัดยอดจริงไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วต้องมาดูที่ยอดปล่อยสินเชื่อมากกว่า เพราะหากเศรษฐกิจยังคงไม่ดี และหากสถาบันการเงินไม่ปล่อยก็ไม่ได้ช่วยให้ยอดซื้อดีขึ้น 

จากยอดขายงาน "บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46" ที่ปิดฉากลงแล้วเมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2568 ทำลายสถิติปีที่แล้ว 53,438 คัน  หลังพบยอด 12 แบรนด์ จาก 41 แบรนด์ กวาดแล้ว  47,435 คัน

อย่างไรก็ตาม หลังปิดงานอย่างเป็นทางการ ก็พบว่ามีหลายบู๊ธที่ประกาศตัวเลขกันทันที โดยเท่าที่ติดตามข้อมูลได้พบว่า ค่ายที่โดดเด่นที่สุด คือ บีวายดี รวมกับเดนซ่า ที่มีตัวเลขยอดจอง 10,353 คัน

ทั้งนี้ หากเทียบกับงาน มหกรรมยานยนต์ ช่วงปลายปี 2567 พบว่ายอดจอง บีวายดี และเดนซ่าสูงขึ้น โดยในงานมหกรรมยานยนต์มีตัวเลข 7,615 คัน

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แม้ยอดจองรถงานมอเตอร์โชว์ 2025จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 44.8% แต่ยังต้องจับตาปัจจัยการอนุมัติสินเชื่อของของสถาบันการเงิน ว่าจะยังคงมีความเข้มงวดเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ 

อย่างไรก็ตาม จะต้องจับตานโยบายภาครัฐค้ำปล่อยสินเชื้อฟื้นยอดซื้อ จึงอยากเสนอให้ภาครัฐดึงธุรกิจการเงินที่ปล่อยสินเชื่อแก่ประชาชน แต่ไม่ได้รับเงินฝาก (นอนแบงก์) และบริษัทสินเชื่อรถยนต์ต่างๆ เข้าโครงการรถกระบะพี่ มีคลังค้ำ ที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อซื้อรถกระบะด้วย เพิ่มเติมจากสถาบันการเงิน 7 แห่งที่อยู่ในโครงการ วงเงิน 5,000 ล้านบาท เป็นครั้งแรกของประเทศไทย 

ซึ่งเป็นรถประกอบธุรกิจของประชาชนและเกษตรกร โดยเริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2568 - 31 ธ.ค.2568 เพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์และส่งเสริมให้เอสเอ็มอีซื้อรถกระบะไปประกอบอาชีพและสร้างรายได้ดีขึ้น

"แม้ว่ายอดจองในงานมอเตอร์โชว์ปีนี้จะมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังวัดยอดจริงไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วต้องมาดูที่ยอดปล่อยสินเชื่อมากกว่า เพราะหากเศรษฐกิจยังคงไม่ดี และหากสถาบันการเงินไม่ปล่อยก็ไม่ได้ช่วยให้ยอดซื้อดีขึ้น ดังนั้น สิ่งสำคัญจะช่วยให้ยอดขายที่ได้แท้จริงคือ เศรษฐกิจ" 

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า สำหรับยอดผลิตรถยนต์ในเดือนก.พ.2568 มีทั้งสิ้น 115,487 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.62% เนื่องจากการผลิตรถยนต์เพื่อขายในประเทศอยู่ที่ 36,952 คัน ลดลงจากปีก่อน 21.26% และการผลิตเพื่อส่งออก อยู่ที่ 78,535 คัน ลดลง 9.48% 

ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาพรวมยอดผลิตรถยนต์ในช่วง 2 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.2568) มีจำนวนทั้งสิ้น 222,590 คัน ลดลง 19.29% เป็นการลดลงของการผลิตรถยนต์เพื่อขายในประเทศ 26.52% อยู่ที่ 69,011 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลง 15.56% อยู่ที่ 153,579 คัน

โดยยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ อยู่ที่ 49,313 คัน ลดลงจากปีก่อน 6.68% จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินกับผู้ซื้อรถกระบะที่ยังคงลดลง 14.9% คงต้องรอยอดจองรถยนต์ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ที่เริ่มวันที่ 26 มี.ค.-6 เม.ย.2568 ที่สถาบันการเงินอาจปล่อยสินเชื่อรถกระบะมากขึ้น

นอกจากนี้ การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนก.พ.2568 ส่งออกได้ 81,323 คัน ลดลงจากปีก่อน 8.34% เพราะจะมีการเปลี่ยนรุ่นรถของรถยนต์นั่งบางรุ่น จึงชะลอการผลิต ทำให้ส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ยังคงต้องติดตามการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ารถยนต์ของสหรัฐ

และบางประเทศคู่ค้าลดคำสั่งซื้อเพื่อรอความชัดเจนในนโยบายการชะลอการขึ้นขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ 90 วัน บางประเทศคู่ค้ามีรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกเข้ามามีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น บางประเทศคู่ค้ามีกฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากประเทศขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมการผลิตรถยนต์เดือนก.พ.2568 จะลดลง แต่หากพิจารณารายละเอียดจะพบว่ายอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งรถยนต์นั่งแบบแบตเตอรี่ (BEV) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 192.69% อยู่ที่ 2,242 คัน รถยนต์นั่งแบบปลั๊กอินไฮบริดเพิ่มขึ้น 311.65% อยู่ที่  2,227 คัน