‘90 วัน' ฝ่าวิกฤติ ‘ภาษีทรัมป์’

‘90 วัน' ฝ่าวิกฤติ ‘ภาษีทรัมป์’

“โดนัลด์ ทรัมป์” กลายเป็นผู้นำโลกที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ วันนี้พูดอย่างอีกวันพูดอีกอย่าง วันดีคืนดีออกมาประกาศจะเก็บภาษีทั่วโลกในอัตรา 10% ไทยโดนเก็บอย่างอ่วม 36% มีผลบังคับใช้วันที่ 9 เม.ย.2568 ยังไม่ทันไร “ทรัมป์” ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีออกไปอีก 90 วันสำหรับประเทศที่ไม่มีมาตรการตอบโต้สหรัฐ แต่กลับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าของ “จีน” แบบสูงลิ่วเป็น 125% ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มีความแน่นอนในโลกยุคที่สหรัฐมีผู้นำอย่าง “ทรัมป์” และพร้อมจะบดขยี้คู่แข่งมหาอำนาจอย่าง “จีน” ให้แหลกเป็นจุล

เท่ากับว่าโลก (ยกเว้นจีน) มีเวลาอีก 90 วัน ในการระดมสรรพกำลัง ระดมสมองเผื่อหาทางแก้เกมการค้าของทรัมป์ การตอบโต้นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ อาจต้องผนึกกำลังร่วมมือกันในระดับภูมิภาค หรือร่วมมือกันผ่าน องค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อผลักดันให้สหรัฐทบทวนนโยบายภาษี หรือ อาศัยความร่วมมือระหว่างกลุ่มเศรษฐกิจสำคัญ เช่น อาเซียน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น เพื่อสร้างอำนาจต่อรองที่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาจต้องพิจารณาลดพึ่งพาตลาดสหรัฐ แล้วหันไปขยายความร่วมมือการค้ากับตลาดอื่นที่มีศักยภาพ

สำหรับประเทศไทย 90 วันจากนี้ เราอาจต้องกำหนดแนวทางเจรจาที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม จัดทำข้อมูลสมดุลทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐให้ครบ วิเคราะห์สินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐ ในมิติต่างๆ ทั้งมูลค่า ปริมาณ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกันไทย ควรเน้นย้ำความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน ทั้งมิติความร่วมมือทางการทหาร การต่อต้านก่อการร้าย และการเป็นพันธมิตรเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาค

ไทยต้องเตรียมแผนรองรับกรณีที่เจรจาไม่ประสบความสำเร็จไว้ด้วย เร่งหาตลาดทดแทนสำหรับสินค้าส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนศึกษาความเป็นไปได้การย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังสหรัฐ หรือประเทศที่มีข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าในระยะยาว

ท้ายที่สุด ช่วงเวลา 90 วันนี้ คือ โอกาสที่ไทยต้องทบทวนยุทธศาสตร์การค้าระยะยาวกับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐ ที่มีผู้นำอย่าง “ทรัมป์” ความสำเร็จไม่ได้วัดเพียงการลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้าครั้งนี้เท่านั้น แต่อยู่ที่การสร้างกลไกความร่วมมือที่ยั่งยืนระหว่างสองประเทศ วางรากฐานเศรษฐกิจไทยให้มีภูมิคุ้มกันต่อความผันผวนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศในอนาคตด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การทูตเชิงรุก การปรับตัวอย่างชาญฉลาด รอดพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปแบบเจ็บตัวน้อยที่สุด