ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมากกว่า 4% หลังทรัมป์ลดภาษีให้คู่ค้า

ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมากกว่า 4% หลังทรัมป์ลดภาษีให้คู่ค้า

ราคาน้ำมันดิบสหรัฐและเบรนท์พุ่งขึ้นมากกว่า 4% ในวันพุธ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าสำหรับประเทศต่างๆ เป็นเวลา 90 วัน แต่ยกเว้นจีน

ซีเอ็นบีซี รายงานตลาดน้ำมันโลกวันพุธ(9 เม.ย.) หรือเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาไทยว่า ราคาน้ำมันดิบสหรัฐและเบรนท์ยุโรปพุ่งขึ้นมากกว่า 4% ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นวันที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าสำหรับประเทศต่างๆ ยกเว้นจีนที่ถูกเรียกเก็บสูงขึ้นเป็น 125%

ราคาน้ำมันอ้างอิงของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.77 ดอลลาร์ หรือ 4.65% ปิดที่ 62.35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาเบรนท์ที่ใช้อ้างอิงทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2.66 ดอลลาร์ หรือ 4.23% ปิดที่ 65.48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดระหว่างวัน 55.12 ดอลลาร์ในช่วงเช้าของวัน หลังจากปักกิ่งประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ 84% เพื่อตอบโต้การขึ้นภาษีของทรัมป์ โดยภาษีนำเข้าของจีนจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 เมษายน

แต่ตลาดน้ำมันกลับตัว โดยแกว่งตัวขึ้นมากกว่า 13% จากระดับต่ำสุด หลังจากทรัมป์เปลี่ยนนโยบายการค้าอย่างรุนแรง ประธานาธิบดีกล่าวว่าอัตราภาษีนำเข้าที่ลดลง 10% จะใช้กับประเทศต่างๆ เป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นจีน เขาปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 125% โดยจะมีผลทันที

กังวลสงครามการค้าเต็มรูปแบบ

บรรดาผู้ค้าในตลาดกังวลว่าโลกกำลังเข้าสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมันดิบ ในขณะเดียวกัน กลุ่มโอเปกพลัส ตกลงที่จะเร่งเพิ่มการผลิตในเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งขณะนี้กำลังเผชิญกับภาวะน้ำมันล้นตลาด

เฮลิมา ครอฟต์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลกของ RBC Capital Markets บอกกับซีเอ็นบีซี เมื่อวันอังคารว่า ความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็น "ส่วนผสมที่เป็นพิษ"

สหรัฐฯ และอิหร่านมีกำหนดหารือกันที่โอมานในวันเสาร์เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของสาธารณรัฐอิสลาม การเจรจาที่ประสบความสำเร็จอาจส่งผลให้มีน้ำมันจากอิหร่านเข้าสู่ตลาดโลกมากขึ้น