เอกชน รับมือภาษีทรัมป์ป่วนโลก ชงรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่

เอกชน รับมือภาษีทรัมป์ป่วนโลก  ชงรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่

หอการค้าไทย ชี้ ต้องนำเข้าสินค้าเกษตรลดขาดดุล หอการค้าไทยในจีน แนะใช้โอกาสปรับโครงสร้างการผลิต อุตฯ แผงวงจรพิมพ์ หวั่นกระทบลงทุน สมาคมอาหารสัตว์ เสนอนำเข้า 3 วัตถุดิบ

“กรุงเทพธุรกิจ” ร่วมกับฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ประชุมโต๊ะกลม Roundtable “Trump's Global Quake ในหัวข้อ The Great Trade War : กลยุทธ์ไทยสู้ศึกสงครามการค้าโลก” โดยมีภาคเอกชนมาร่วมแสดงความเห็นถึงผลกระทบจากการขึ้นภาษีตามนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่ม 36%

นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทย และรัฐบาลทำงานร่วมกันเพื่อหาทางรับมือการขึ้นภาษีของทรัมป์ตั้งแต่เดือนม.ค.2568 แต่ไม่สามารถพูดได้เนื่องจากยังไม่รู้โจทย์ของทรัมป์ จนกระทั่งวันที่ 2 เม.ย.2568 ประกาศขึ้นภาษีไทย 36% 

“เรารู้โจทย์แล้วจึงสามารถพูดได้ ซึ่งการที่สหรัฐขาดดุลการค้าทั่วโลก ทำให้มีเป้าหมายการขึ้นภาษีเพื่อลดการดุลการค้า และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ทำให้ทุกประเทศให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของการค้าโลก เพราะตลาดสหรัฐเป็นตลาดหลักของทุกประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ไทย”

ทั้งนี้ ไทยส่งออกไปสหรัฐ 1.9 ล้านล้านบาท หรือ 20% ของการส่งออกไทย เมื่อสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36% ทำไทยเสียหายเกือบครึ่งหนึ่ง และทางเดียวที่จะแก้ไขอยู่ที่การเจรจา ซึ่งการเจรจาต้องมีรายละเอียด เสนอในทุกมิติ ที่ผ่านมาได้ประสานผู้แทนการค้าไทย (ยูเอสทีอาร์) แล้ว

นายชนินทร์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญ แผนการเจรจาต้องลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐให้มากที่สุดเพื่อให้เกิดความสมดุลทางการค้าของทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะภาษีสินค้าเกษตร เพราะช่องว่างภาษีของไทย และสหรัฐห่างกันถึง 22% ซึ่งไทยเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐ 27% ส่วนสหรัฐเก็บภาษีไทยเพียง 5%

เอกชน รับมือภาษีทรัมป์ป่วนโลก  ชงรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่

 ขณะที่เราก็ต้องเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรที่สหรัฐต้องการ อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง เนื้อวัว เครื่องในวัว สินค้าอาหารทะเล สินค้าประเภทสุรา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผัก ผลไม้ (แอปเปิ้ล เชอร์รี่) นมผง ซึ่งสินค้าเหล่านี้เราสามารถนำเข้าได้ เพราะบางอย่างเรายังมีความต้องการสูง เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 

อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าเกษตรบางอย่างก็ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบเนื่องจากกระทบกับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเนื้อหมูที่สหรัฐต้องการให้ไทยนำเข้า

นายชนินทร์ กล่าวว่า ทางหอการค้าไทยได้มีข้อเสนอถึงรัฐบาล 5 ข้อ

1.ต้องเปิดเจรจาการเก็บภาษีที่ไทยต้องปรับลดให้สหรัฐ และต้องปรับโครงสร้างภาษี ในข้อดีของไทยจะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบถูกขึ้น

2.การนำเข้าวัตถุดิบต้องคุยกับทุกภาคส่วน ที่จะไม่ทำให้เกษตรกรเดือดร้อน

3.การนำเข้าเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เครื่องในวัว

4.การแก้ปัญหาการสวมสิทธิสินค้าส่งออก ลดการนำเข้าที่ไม่จำเป็นต่อประเทศ และเพิ่มการส่งออก

5.ขอให้รัฐบาลตั้งทีมกับเอกชน ดูสถานการณ์การค้าทั่วโลก และต้องเร่งเจรจา FTA ไทย-อียู แคนาดา-อาเซียน ต้องจบภายในปีนี้ ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา

เอกชน รับมือภาษีทรัมป์ป่วนโลก  ชงรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่

หนุนใช้เวทีอาเซียนเพิ่มอำนาจต่อรอง

นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน กล่าวว่า การที่สหรัฐตั้งกำแพงภาษีสูงในหลายประเทศ โดยมองเรื่องการขาดการค้าเป็นหลัก ซึ่งไม่ได้บนพื้นฐานที่แท้จริง เพราะการที่นำเข้าสินค้ามาก สะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน 

อีกทั้งเมื่อขาดดุลการค้ากับประเทศใดมากก็อาจใช้การเจรจาต่อรองหรือใช้เวทีดับบลิวทีโอที่สหรัฐก่อตั้งมากับมือ แต่กลับใช้วิธีการปรับขึ้นภาษีรายประเทศ

นอกจากนี้สหรัฐไม่ได้มองการที่ได้ดุลการค้ากับประเทศอื่นในเรื่องของภาคบริการ ซึ่งสหรัฐได้ดุลการค้าเรื่องลิขสิทธิ์ การขายสิทธิบัตร ประเมินว่าสหรัฐได้ดุลการค้าประเภทนี้ปีละ 3 แสนล้านดอลลาร์ บางส่วนกลับไปสหรัฐ บางส่วนถูกซ่อนไว้ ไม่ให้ขาดดุล ซึ่งส่วนนี้ไม่เป็นธรรมกับหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย

นายไพจิตร กล่าวว่า อีกส่วนหนึ่งที่ทรัมป์พูดถึงคือ การเอากรีนแลนด์เป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ เพราะขณะนี้ จีน รัสเซีย ยุโรป พัฒนารถเจาะน้ำแข็งที่ไปทั่วโลก ซึ่งสหรัฐกังวลเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพความมั่นคง นอกจากนี้ทรัมป์ยังทุ่มงบประมาณพัฒนาอู่ต่อเรือโดยเฉพาะเรือรบ เตรียมเรียกเก็บค่าเซอร์ชาร์จเรือเข้าเทียบท่าที่ไม่ใช่เรือของสหรัฐ โดยฉพาะจีน ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่

อย่างไรก็ตามขณะนี้หลายประเทศต่อสายเจรจากับทรัมป์ หากว่า สหรัฐชนะเกมแรกแล้วไม่หยุด อาจจะเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก พร้อมขยายวงไปยังเรื่องอื่น เช่น การลงทุน โดยเก็บภาษีเพิ่มขี้น และหากว่าประเทศอื่นใช้โมเดลนี้บ้าง จะเป็นอย่างไร ซึ่งเราต้องพิจารณาให้รอบด้าน ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไป

นายไพจิตร กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยต้องปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ การปรับโครงสร้างการผลิตอย่างจริงจัง ทำให้อยู่ในกลไกตลาดเสรีมากขึ้น ลดการพึ่งพาการนำเข้าในส่วนสินค้าที่มีศักยภาพ ปรับโครงสร้างตลาดที่กระจุกตัวในประเทศที่พัฒนาแล้ว ให้ขยายตัวไปยังกลุ่มประเทศอื่น เช่น กลุ่มประเทศแอฟริกา ลาตินอเมริกา เร่งรัดการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น การจัดการกับปัญหานอมินี การจัดตั้งกองทุนในการปรับตัวสู่อุตสาหกรรมใหม่ หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต การปลุกกระแสรักชาติ

นอกจากนี้รัฐบาลควรใช้เวทีดับบลิวทีโอในการเปิดโต๊ะการเจรจา ใช้เวทีอาเซียนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อนรอง รวมทั้งตั้งทีมเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ดูเฉพาะเรื่องการค้าเพียงอย่างเดียวแต่ต้องครอบคลุมทุกมิติเพื่อผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ

เอกชน รับมือภาษีทรัมป์ป่วนโลก  ชงรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่

อุตฯ แผงวงจรพิมพ์หวั่นย้ายฐาน

นายเสวก ประกิจฤทธานนท์ อุปนายก สมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย Thailand Printe Circuit Association (THPCA) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมแผงวงจรพิมพ์ (PCB) กำลังย้ายฐานการผลิตและก่อตั้งซัพพลายเชนในไทยช่วง 2-3 ปีนี้ ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 1.8 แสนล้านบาท โดยเป็นผู้เล่นจาก 50 บริษัทชั้นนำทั่วโลก

ทั้งนี้ การย้ายฐานผลิตเข้ามามีปัจจัยหลักจากความมั่นคง ซึ่งบริษัทกว่า 25% เข้ามาก่อตั้งโรงงานในไทยแล้วเสร็จ และมีการผลิตในประเทศแล้ว ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนที่เป็นซัพพลายเชนสำคัญในการการผลิต AI Server, คอมพิวเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ รายใหญ่ของโลก ซึ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐโดยตรงแต่เป็นการส่งไปให้ผู้ประกอบชิ้นส่วน (assembly) ที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน

รวมทั้ง PCB ยังมีความต้องการสูงในตลาดโลก โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะเติบโต 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งผู้ผลิตในเครือข่ายตัดสินใจมาลงทุนในไทยส่วนหนึ่งเพราะความมั่นคงรวมทั้งความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทั้งน้ำ และไฟฟ้า และไทยเป็นบัฟเฟอร์โซน

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของภาษีทรัมป์อาจส่งผลกระทบให้เกิดการย้ายฐานผลิตไปยังประเทศคู่แข่งที่โดนกำแพงภาษีสหรัฐต่ำกว่า เช่น เวียดนาม เม็กซิโก ซึ่งในมุมมองของผู้ประกอบการอยากได้ความมั่นใจว่าทีมไทยจะมีการเจรจากับสหรัฐอย่างไร ในขณะที่หากไทยยังเจอภาษีที่ 36% ประเมินเบื้องต้นว่าจะส่งผลกระทบต่อแรงงานกว่า 6-8 แสนคน

เอกชน รับมือภาษีทรัมป์ป่วนโลก  ชงรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่

พร้อมนำเข้าอาหารสัตว์ 9 หมื่นล้านบาท

นายสมภพ เอื้อทรงธรรม เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวว่า ธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ไทยมีปริมาณการผลิตอยู่ที่ 21 ล้านตัน ขยายตัว 1.1% ต่อปีมาตลอด 7 ปี เนื่องจากเผชิญกับข้อจำกัด โดยกว่า 60% ต้องการนำเข้าวัตถุดิบมาเพื่อผลิตอาหารสัตว์ ได้แก่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้อยู่ระหว่างการพิจารณานำเข้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้น

สำหรับข้าวโพดสหรัฐมีการดัดแปรพันธุกรรม (GMO) เพิ่มผลิตภาพการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวโพดในสหรัฐต่ำกว่าไทย แม้ค่าแรงจะสูงกว่า ดังนั้นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในประเทศจึงกังวลว่าจะได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ หากปรับกฎระเบียบเรื่องการยกเลิกโควตาให้มีวัตถุดิบมากขึ้น และทำให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ขยายตัวจะช่วยให้ผู้ผลิตอุดหนุนเกษตรกรได้ ทั้งนี้ ผู้เพาะปลูกในประเทศเองจะต้องมีการปรับตัวเพิ่มผลิตภาพการปลูกข้าวโพด และลดต้นทุนด้วย

นอกจากนี้ ถั่วเหลือง เมล็ดถั่ว และกากถั่ว ซึ่งสหรัฐเป็นผู้ผลิตอันดับต้นของโลก และไทยยังนำเข้าจากสหรัฐน้อย เนื่องจากการพิจารณาเรื่องความสามารถแข่งขัน อีกทั้งยังมีการกำหนดภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 2% ซึ่งหากไทยจะนำเข้าเพิ่มขึ้นควรต้องลดภาษี

ขณะเดียวกัน เนื้อหมู และเครื่องในที่พิจารณานำเข้ามา แต่ต้องพิจารณาด้วยว่าการเปิดนำเข้าอาจทำลายปศุสัตว์ในประเทศได้ ดังนั้นการเปิดทางเพื่อนำเข้าวัตถุดิบ และประกันราคาสินค้าเกษตรในประเทศ เพื่อผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น จะดีกว่าการนำเข้าสินค้าปลายทาง

“สำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์มีศักยภาพในการเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐ 3 ตัว มูลค่ารวมราว 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้เสนอไปทางรัฐบาลแล้ว และหากอุตสาหกรรมขยายตัวได้ปีละ 3-5% ก็ยังขยายตัวได้มากขึ้น”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์