อุตฯ ยานยนต์ไทยปรับทัพรับภาษีสหรัฐ ส.อ.ท. จี้รัฐเร่งเจรจา หวั่นต้นทุนพุ่ง

อุตฯ ยานยนต์ไทยปรับทัพรับภาษีสหรัฐ ส.อ.ท. จี้รัฐเร่งเจรจา หวั่นต้นทุนพุ่ง

กลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท. ปรับเป้าการผลิตส่งออกจักรยานยนต์ไปสหรัฐ ตามนโยบายย้ายฐานผลิตบริษัทแม่ แปลกใจ สหรัฐขึ้นภาษีรถยนต์ในไทยซึ่งเป็นแบรนด์ของอเมริกาเอง 

กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และ โพสต์ทูเดย์ จัดงานเสวนา Roundtable
“Trump’s Global Quake: Thailand Survival Strategy” นายวิทวัฒน์ ทองเวส เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเสวนาหัวข้อ "The Great Trade War : กลยุทธ์ไทยสู้ศึกสงครามการค้าโลก" ว่า ตัวเลขการส่งออกไปสหรัฐไม่เยอะที่ 3% มูลค่า 320 ล้านดอลลาร์ รถที่ส่ง 32,000 คัน เทียบทั้งหมดที่ส่งออก 1 ล้านคันในปีที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ปรับแผนการผลิตและไม่ส่งออกไปสหรัฐ โดยมีการย้ายฐานการผลิตไปตามนโยบายของบริษัทแม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการขึ้นภาษีของสหรัฐ 

ทางกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ถูกประกาศขึ้นภาษีไปแล้ว 25% ซึ่งหากดูจำนวนรถที่ส่งออกประมาณ 32,000 คัน ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งประมาณ 3% ของยอดส่งออกทั้งหมด เดิมรถยนต์นั่ง 2.5% เพิ่มเป็น 27.5% และรถกระบะเดิม 25% เพิ่มเป็น 50% แต่ปัจจุบันไม่มีส่งออกไปแล้ว 

ส่วนรถจักรยานยนต์สัดส่วนส่งออกไปสหรัฐสูงถึง 23% ของยอดส่งออกทั้งหมดที่ส่งออกจากไทย และมีแบรนด์ของสหรัฐเองรวมอยู่ด้วย ซึ่งการที่ทรัมป์บอกว่าขาดดุลการค้าในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่จะให้ย้ายบริษัทผู้ผลิตต้องย้ายกลับไปประเทศตัวเอง ซึ่งรถจักรยานยนต์จะเพิ่มจากเดิม 2.4% เป็น 38.4%

นอกจากนี้ อีกส่วนที่กระทบคือกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์มูลค่าการส่งออกที่ 1,500 ล้านดอลลาร์ ไม่รวมยางที่มีมูลค่า 3,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการคิดภาษีเป็นอย่างที่คาดการณ์หรือไม่นั้น ซึ่งในตอนนั้นสหรัฐบอกว่าชิ้นส่วนที่ทำจากเหล็กและอลูมิเนียม และตอนนี้ชิ้นส่วนยานยนต์จะเก็บภาษีอีกเ36% จึงถือเป็นการเหมารวมทั้งหมด ดังนั้น อาจจะต้องดูว่าทรัมป์จะคิดอย่างไร แต่บอกได้เพียงว่าแค่เห็นแต่ตัวเลขก็ถือเป็นความกังวลแล้ว
 

ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการคือ การรีบเจรจา เนื่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบหนักมา 2 ปีแล้ว ที่มาจากปัญหาเศรษฐกิจ และหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้ยอดการผลิตและยอดขายซบเซา อีกทั้ง อาจจะส่งผลกระทบทางอ้อมไปยังผู้ผลิตชิ้นส่วน รวมถึงซัพพลายเชนทั้งหมดอาจกระทบในด้านของต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเมื่อรัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมการลงทุน แบรนด์จีนที่มาลงทุนในไทยตามนโยบายจะสะดุดในปัญหาของซัพพลายเชนที่ต้นทุนอาจสูงขึ้น สุดท้ายแล้วผู้บริโภคอาจซื้อรถในราคาที่สูงขึ้น แม้ตอนนี้ราคาลงจากนโยบายภาครัฐ

ดังนั้น รัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด รวมถึงการสวมสิทธิ์ซึ่งอาจจะเป้นสินค้าอื่น แต่หากมองในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ในการผลิตเขตฟรีโซนที่กำหนดกฎระเบียบของการใช้ซัพพลายในประเทศจึงสำคัญ ดังนั้น เมื่อจีนต้องลงทุนจะต้องหาซัพพลายเชนในไทย และอาจมีในส่วนของการเข้ามาสวมสิทธิ ดังนั้น ภาครัฐจึงควรคุยกับสหรัฐเพื่อให้เห็นผลและเป็นรูปธรรมมากขึ้น 

"ส่วนแผนการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย Net Zero ตามนโยบายการสนับสนุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยนั้น สมาชิกในกลุ่มยานยนต์ยังไม่มีแผนผลิตรถอีวีเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ จะมีเพียงสหภาพยุโรปที่ประกาศแบนรถเครื่องยนต์สันดาปซึ่งบางค่ายได้ส่งออกไปแล้ว ส่วนแบรนด์จีนที่มาผลิตในไทยยังไม่มีตัวเลขการส่งออกไปสหรัฐ ดังนั้น จึงต้องดูแผนตามเทรนด์โลก"     

ทั้งนี้ ส.อท. มีตั้งกลุ่ม Cluster of FTI. Future Mobility-ONE (CFM-ONE) โดย น.ส.ยุพิน บุญศิริจันทร์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เป็นประธาน เพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบายการเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม สนับสนุนกลุ่มยานยนต์ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริด เป็นต้น