WTO ชี้ภาษีทรัมป์ทำการค้าโลกติดลบเบรกทัพงัดมาตรการตอบโต้

เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามประกาศคำสั่ง EO (Executive orders )กำหนดภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs)
KEY
POINTS
สำหรับการปฏิบัติต่อสินค้าจากประเทศสมาชิกอย่างเท่าเทียมกัน (Most-favoured Nation Treatment : MFN) คือ แต่ละประเทศ จะต้องเรียกเก็บภาษีศุลกากร หรือ ค่าธรรมเนียม หรือใช้มาตรการใดๆ กับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศสมาชิกอื่นๆ เท่าเทียมกันทุกประเทศ และปฏิบัติต่อสินค้านำเข้า เท่าเทียมกับสินค้าภายในประเทศ (National Treatment) ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีภายใน หรือการกำหนดกฎระเบียบต่างๆ
อารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริม สนับสนุน และกำกับดูแลการค้า ของประเทศทั้งระบบเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมี พ.ร.บ. การส่งออกไปนอก และการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นเครื่องมือหลักทางกฎหมายในการกำหนดมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non- Tariff Measures :NTMs) ซึ่งเป็นเสมือนเกราะป้องกันประเทศจากสินค้าที่ผิดกฎหมาย ไม่มีคุณภาพมาตรฐาน ขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ชีวิต และสิ่งแวดล้อม
โดยกฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจกระทรวงฯ กำหนดมาตรการกำกับดูแลการนำเข้าทั้งเพื่อการอนุวัติการตามพันธกรณีตามความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยต้องปฏิบัติตามและในกรณีที่มีความจำเป็นต้องควบคุมการนำเข้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์สำคัญของประเทศในด้านต่างๆ ซึ่งภารกิจดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขที่ WTO อนุญาตให้รัฐภาคีสามารถกระทำได้ภายใต้ข้อยกเว้นทั่วไปของ GATT
ในทุกกรณีจะมีการพิจารณาความจำเป็น และเหมาะสมของมาตรการที่จะกำหนดด้วยการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน และคำนึงถึงกฎกติกาสากลอย่างรอบคอบ
ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามาตรการที่ พณ. กำหนดขึ้นจะสามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ขัดต่อหลักการค้าเสรี และไม่สร้างอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศมากเกินความจำเป็น เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและการบริหารการค้าระหว่างประเทศตามหลักการค้าเสรี
ในปัจจุบัน พณ. มีการบังคับใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าที่สำคัญ
1. การห้ามนำเข้าสินค้าตามข้อมติ UNSC (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ: United Nations Security Council) ด้านการคว่ำบาตร และสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมของประเทศ เช่น ขยะเทศบาล ขยะอิเล็กทรอนิกส์ บุหรี่ไฟฟ้า รถยนต์ที่ใช้แล้ว ภาชนะบรรจุอาหารที่มีสารตะกั่วหรือแคดเมียมเกินปริมาณที่กำหนด
2. การกำหนดให้สินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือส่งผลกระทบต่อสังคมต้องได้รับการพิจารณาอนุญาตก่อนการนำเข้า
3. การกำหนดให้การนำเข้าสินค้าบางชนิดต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัย/สุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures:SPS) เพื่อยืนยันความปลอดภัยของสินค้า
ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ ที่ พณ. กำหนดขึ้นดังกล่าวเป็นมาตรการที่มีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไปโดยไม่เลือกปฏิบัติต่อประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ กล่าวคือ นอกจากมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าคว่ำบาตรที่จำเป็นต้องเจาะจงประเทศต้องห้ามตามที่มติ UNSC กำหนดแล้ว ในส่วนของมาตรการกำกับดูแลการนำเข้าในกรณีอื่นทั้งหมดจะมีผลบังคับใช้กับการนำเข้าสินค้าทุกกรณีอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงประเทศผู้ผลิตหรือประเทศต้นทางการขนส่งสินค้าแต่อย่างใด
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล วิเคราะห์ว่า สหรัฐจะยังไม่จบแค่การประกาศขึ้นภาษีเพราะเป้าหมายของสหรัฐคือ การแก้ปัญหาขาดดุลการค้า ตามEO จึงกำหนดอีกว่าหากจะมีการปรับแก้การบังคับใช้มาตรการภายใต้คำสั่งนี้ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ผู้ช่วยประธานาธิบดีด้านนโยบายเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคงแห่งชาติ และที่ปรึกษาอาวุโสด้านการค้า และการผลิต จะต้องเสนอแนะแนวทางในการใช้มาตรการเพิ่มเติม หากการบังคับใช้มาตรการนี้ ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้ารวม แม้ได้มีการขยายขอบเขตการใช้มาตรการกำหนดอัตราภาษีต่างตอบแทนจากคู่ค้าทางการค้าของสหรัฐ ซึ่งส่งผลต่อผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติสหรัฐ
นอกจากนี้ หากประเทศคู่ค้าใดใช้มาตรการตอบโต้ (Retaliate)สหรัฐ โดยการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ รวมถึงการใช้มาตรการอื่นๆ ประธานาธิบดีอาจพิจารณาเพิ่มหรือขยายขอบเขตการจัดเก็บภาษีภายใต้คำสั่งนี้ เพื่อให้การดำเนินมาตรการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
หากประเทศคู่ค้าใดดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญ (Take significant steps to remedy) เพื่อแก้ไข และเยียวยาการค้าที่ไม่เป็นการต่างตอบแทน รวมถึงให้สอดคล้องกับแนวทางของสหรัฐในด้านการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ ประธานาธิบดีอาจพิจารณาปรับลด (Decrease) หรือจำกัด (Limit) ขอบเขตภาษีที่จัดเก็บภายใต้คำสั่งนี้ และหากศักยภาพในด้านกำลังการผลิต รวมถึงผลผลิตของสหรัฐ ยังคงแย่ลง (Worsen) ประธานาธิบดีอาจพิจารณาเพิ่มอัตราภาษีภายใต้คำสั่งนี้

โดยอาศัยอำนาจภายใต้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act of 1977 (IEEPA)
สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. Baseline Tariff: จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการจากทุกประเทศในอัตรา 10% โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย.2568
2. Individualized Reciprocal Higher Tariff: จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการเป็นรายประเทศ สำหรับประเทศที่สหรัฐ มีการขาดดุลการค้าด้วยสูง โดยไทยถูกกำหนดภาษีในอัตรา 36% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย.2568 แม้ว่า Reciprocal Tariff ของไทยตาม chart ที่ Whitehouse เผยแพร่ใน X ระบุ 36% ขณะที่ข้อมูลตาม Annex I ของ EO ระบุอัตราภาษี Reciprocal Tariff ของไทย 37% ทั้งนี้ โดยหลักการ ควรพิจารณาใช้ข้อมูลจากตัวคำสั่ง EO (ที่มีการระบุอัตราภาษีใน annex 1) ที่เผยแพร่ลง Website ของ White House
การกระทำของทำเนียบขาว สร้างความสั่นสะเทือนมาที่ไทย และทั่วโลก เกิดความสับสนวุ่นวายทางการค้าที่ไม่ใช่เพียงการเจรจาบนโต๊ะอย่างมีเวลาให้เตรียมตัว แต่เป็นการลุยทำทันที
เอ็นโกซี โอคอนโจ-ไอวีเอลาผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก(WTO) ออกคำแถลงว่า สำนักเลขาธิการ WTO กำลังติดตาม และวิเคราะห์มาตรการที่ประกาศโดยสหรัฐเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 อย่างใกล้ชิด หลังจากที่สมาชิกหลายรายแจ้งเข้ามาและ WTO เองก็กำลังติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อตอบคำถามให้กับสมาชิกถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของสมาชิก และระบบการค้าโลก
การประกาศของสหรัฐล่าสุดนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการค้าโลก และแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่การประมาณการเบื้องต้นของ WTO ชี้ให้เห็นว่ามาตรการเหล่านี้ เมื่อรวมกับมาตรการที่นำมาใช้ตั้งแต่ต้นปี อาจส่งผลให้ปริมาณการค้าสินค้าทั่วโลกหดตัวโดยรวมประมาณ 1% ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการปรับลดลงเกือบ 4% จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ (WTO คาดว่าปริมาณการค้าจะเติบโต 2.7% ในปี 2567 และ 3% ในปี 2568)
“ฉันกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการลดลงนี้ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงว่าสงครามภาษีศุลกากรจะเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นเนื่องจากเห็นสัญญาณความพร้อมของโลกการค้าที่จะเข้าสู่วัฏจักรของมาตรการตอบโต้ซึ่งจะนำไปสู่การลดลงของการค้าต่อไป”
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ ต้องจำไว้ว่า แม้จะมีมาตรการทางการค้าใหม่ๆ ออกมาแต่การค้าโลกส่วนใหญ่ยังคงดำเนินไปภายใต้เงื่อนไข MFN (Most-Favoured-Nation) ของ WTO ซึ่งได้ทำให้ MFN ลดลงมาอยู่ที่ 74% ในปัจจุบัน จาก 80% เมื่อต้น 2568 สมาชิก WTO ต้องร่วมมือกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าร่วมกัน
"ฉันขอเรียกร้องให้สมาชิกจัดการกับแรงกดดันที่เกิดขึ้นอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อป้องกันไม่ให้ความตึงเครียดทางการค้าลุกลามไป ซึ่ง WTO ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในช่วงเวลาเช่นนี้ในบทบาทเป็นเวทีสำหรับการเจรจา เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น และเพื่อสนับสนุนสภาพแวดล้อมการค้าที่เปิดกว้าง และคาดการณ์ได้ ฉันขอสนับสนุนให้สมาชิกใช้เวทีนี้เพื่อการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ และหาทางออกร่วมกัน”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







