ส่องแผนลดค่าไฟเหลือ 3.99 บาท เอกชนหวั่นเพิ่มต้นทุน 3 หมื่นล้าน/ปี

ส่องแผนลดค่าไฟรัฐบาล เอกชนหวั่นโยบายปรับโครงสร้างราคา Pool Gas ดันราคาก๊าซภาคอุตสาหกรรม 60% กระทบต่อต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรมสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี
KEY
POINTS
- ครม.มอบหมายให้ กระทรวงพลังงาน กำกับให้บอร์ด กฟผ. - กกพ. ร่วมกันดำเนินการ 3 เรื่องต่อไปนี้ ให้เสร็จสิ้นภายใน 45 วันนับแต่ ครม. มีมติ เพื่อกำหนดราคาเป้าหมายค่าไฟ เดือนพ.ค. - ส.ค. 2568 ไม่เกินหน่วยละ 3.99 บาท
- ครม. มีมติให้กระทรวงพลังงาน โดยสนพ. ศึกษาและเสนอแนวทางปรับโครงสร้าง Pool Gas เพื่อให้ราคาแก๊ส สำหรับใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนมีราคาต่ำลง ให้ทันประกาศเดือน ก.ย.-ธ.ค. 68
- เอกชนมีความกังวลการปรับโครงการสร้าง Pool Gas จะทำให้ราคาก๊าซภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 60% จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรมสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี
จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชนตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยกำหนดราคาเป้าหมาย สำหรับ ค่าไฟ เดือน พฤษภาคม - สิงหาคม 2568 ไม่เกินหน่วยละ 3.99 บาท เป็นราคาเป้าหมาย
และมอบให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำกับดูแลให้คณะกรรมการ (บอร์ด) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ร่วมกันดำเนินการกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต กฟผ. เพื่อให้ปรับลดราคาไฟตามราคาเป้าหมาย ดำเนินการ 3 เรื่องต่อไปนี้ ให้เสร็จสิ้นภายใน 45 วันนับแต่ ครม. มีมติ ได้แก่
1. ให้หาแนวทางแก้ไขปัญหาสัญญารับซื้อไฟฟ้า ในรูปแบบส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (แอดเดอร์) และ Feed-in-tariff (FIT) และเงื่อนไขที่กำหนดให้สัญญาดังกล่าวมีอายุสัญญาต่อเนื่องโดยไม่มีกำหนดวันสิ้นสุดสัญญา
2.ให้หาแนวทางแก้ไขปัญหา ค่าความพร้อมจ่าย (AP) และค่าพลังงาน (EP) รวมทั้งเงื่อนไขข้อตกลงอื่นในสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน (IPP) ตามสัญญารับซื้อไฟฟ้าระยะยาว (PPA) ทุกสัญญาที่มีเงื่อนไขทำให้กฟผ. หรือรัฐเสียเปรียบ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเกินสมควร หรือสูงเกินความเป็นจริง
3.ให้หาแนวทางแก้ไขปัญหา อุปสรรคในข้อตกลงในสัญญารับซื้อไฟฟ้าต่างๆ ที่ทำให้ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (SO) ไม่สามารถบริหารจัดการ การสั่งผลิตไฟฟ้า ให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.ลดต่ำลงได้
นอกจากนี้ ครม. มีมติเห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ศึกษา และเสนอแนวทางปรับโครงสร้าง ระบบก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) เพื่อให้ราคาก๊าซสำหรับใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนมีราคาต่ำลง โดยให้ดำเนินการให้ทันการประกาศ ราคาไฟฟ้า สำหรับรอบเดือน กันยายน-ธันวาคม 2568
นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโสสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความกังวลต่อนโยบายการปรับโครงการสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ที่มีแนวคิดจะผลักภาระต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติไปให้ภาคอุตสาหกรรม เพื่อทำให้ค่าไฟฟ้าลดลง ซึ่งนโยบายดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ราคาก๊าซภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 60% จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรมสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี
ดังนั้น การปรับโครงสร้างราคาพลังงานจึงควรมีการศึกษาความเป็นไปได้และผลกระทบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล ตลอดจนพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของโครงสร้างพลังงาน ไม่ใช่การโยกตัวเลขหรือผลักภาระต้นทุนพลังงานไปให้อีกภาคส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ขอให้พิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดภาระต้นทุนกับการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง
ทั้งนี้ ก๊าซธรรมชาติที่มาผลิตไฟฟ้ามาจาก 3 แหล่งคือ 1. อ่าวไทย 50% ถูกที่สุด 2. เมียนมา 10% และ 3. การนำเข้า LNG ซึ่งมีราคาแพงสุด ซึ่งรมต.กระทรวงพลังงาน ต้องการโยกก๊าซ LNG ที่เป็นต้นทุนสูงสุดมาให้ภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น เอกชนมองว่า ควรแก้ปัญหาให้ตรงจุด ไม่ใช่สร้างปัญหาและไม่แก้ปัญหาในภาพรวม
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2568 กกร. ได้ลงนามไปยังนายกฯ ถึงความกังวลดังกล่าว ว่าจะกระทบเอกชน และการดำเนินธุรกิจยากยิ่งขึ้นในภาวะเศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ เพราะสุดท้ายต้นทุนจะไปกระทบต่อราคาสินค้ารวมถึงการส่งออกด้วย







