คาดนักท่องเที่ยวสงกรานต์ปี 68 หดตัว ส.อ.ท. แนะทำประกันภัยพิบัติ

ส.อ.ท. คาดแผ่นดินไหวเสียหายทางเศรษฐกิจ 3 หมื่นล้านบาท นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปในเทศกาลสงกรานต์ แนะผู้ประกอบการทำประกันภัยครอบคลุมภัยพิบัติ
KEY
POINTS
- แผ่นดินไหวในประเทศไทย หลายหน่วยงานได้ประเมินว่า จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ 20,000 – 30,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.1 – 0.15% ต่ออัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
- คาดส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ในช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาจยังไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัย ทำให้ประเทศไทยอาจสูญเสียรายได้ ในระยะสั้นไป
- ผู้ประกอบการต้องปรับตัว โดยการทำประกันภัย ที่ครอบคลุมกรณีภัยพิบัติ มีการซ้อมแผนรับมือเหตุภัยพิบัติให้พนักงานอย่างต่อเนื่อง พัฒนาแผนรับมือในธุรกิจของตนเอง รักษาความปลอดภัยทั้งระบบ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย หลายๆหน่วยงานได้ประเมินว่า จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ 20,000 – 30,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.1 – 0.15% ต่ออัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และอาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ที่อาจมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ในช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาจยังไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัย และเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยว ทำให้ประเทศไทยอาจสูญเสียรายได้ จากการท่องเที่ยวในระยะสั้นไป
ขณะที่ผลกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรม ส.อ.ท. ได้มีการติดตามผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวแล้ว พบว่าในส่วนของอาคารโรงงาน ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากอาคารโรงงานส่วนใหญ่ มีโครงสร้างที่ไม่ได้มีความสูงมากนักและส่วนใหญ่เป็นแนวราบ ประกอบกับมีการตรวจสอบโครงสร้าง อาคารจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ก่อนที่จะอนุญาตเปิดกิจการ ทำให้มีความปลอดภัยระดับหนึ่ง
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ประเทศไทย ควรมีการเตรียมการและวางมาตรการป้องกัน ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรับมือกับแผ่นดินไหวและภัยพิบัติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต
โดยมาตรการที่สำคัญ คือ การพัฒนาระบบเตือนภัยให้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการพยากรณ์แผ่นดินไหวและปรับปรุงแผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวแบบเรียลไทม์ มีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและอาคารให้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้
โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงที่มีรอยเลื่อน ของแผ่นเปลือกโลกพาดผ่าน ซึ่งสามารถทำได้โดยการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย สำหรับรองรับผู้ได้รับผลกระทบ และการกระจายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ไปยังหลายพื้นที่ เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากเกิดภัยพิบัติในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
“ผู้ประกอบการ ก็จะต้องมีการปรับตัว โดยการทำประกันภัย ที่ครอบคลุมกรณีภัยพิบัติ มีการซ้อมแผนรับมือเหตุภัยพิบัติให้พนักงานอย่างต่อเนื่อง พัฒนาแผนรับมือในธุรกิจของตนเอง และให้ความสําคัญกับการรักษาความปลอดภัยทั้งระบบ”
นอกจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว คือ เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักลงทุน โดยดำเนินมาตรการฟื้นฟูที่เป็นรูปธรรม เช่น การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน การตรวจสอบความแข็งแรงของอาคารอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะอาคารเก่าและอาคารสูงที่ไม่ได้ออกแบบให้รองรับแรงสั่นสะเทือน มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการรับมือภัยพิบัติ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาคในการรับมือกับภัยธรรมชาติ
ตลอดจนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวและการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการหลังได้รับผลกระทบ หากเราสามารถวางแผนรับมือได้อย่างเป็นระบบ มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการพยากรณ์ และมีเครื่องมือต่างๆ ที่พร้อมกรณีเกิดเหตุ จะช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อให้ประเทศ เดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย







