ราคาน้ำมันดิบร่วงแรง ผู้ค้ากลัวภาษีทรัมป์ทำเศรษฐกิจโลกถดถอย

ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ร่วงลงราว 2% ในวันจันทร์ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลงต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ผู้ค้าวิตกกำแพงภาษีสูงของประธานาธิบดีทรัมป์ จะทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย
ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ร่วงลงราว 2% ในวันจันทร์ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างมากต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องมาตลาดกลัวว่ามาตรการภาษีน้ำมันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลให้สหรัฐฯ และอาจรวมถึงโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ร่วงลง 1.29 ดอลลาร์ หรือ 2.08% ปิดที่ 60.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลง 1.37 ดอลลาร์ หรือ 2.09% ปิดที่ 64.21 ดอลลาร์ โดยราคาน้ำมันล่าสุดปรับตัวลดลงหลังจากที่ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ และเบรนท์ปิดตลาดลดลงมากกว่า 10% ในสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียตของสหรัฐฯ (WTI) ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบวันที่ 58.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2021 ส่วนราคาน้ำมันเบรนท์ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานทั่วโลกร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบวันอยู่ที่ 62.51 ดอลลาร์
การตัดสินใจของผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ในสัปดาห์ที่แล้วที่จะเพิ่มอัตราการผลิตยังกดดันให้ราคาน้ำมันลดลงอีกด้วย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา บริษัท Saudi Aramco ลดราคาน้ำมันดิบ Arab Light ซึ่งเป็นน้ำมันเรือธงของบริษัท
ทรัมป์แสดงความยินดีที่ราคาน้ำมันร่วงลงอย่างรวดเร็วในช่วงเช้าของวันจันทร์
“ราคาน้ำมันลดลง อัตราดอกเบี้ยลดลง (เฟดที่เคลื่อนไหวช้าควรจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย!) ราคาอาหารลดลง ไม่มีเงินเฟ้อ และสหรัฐฯ ซึ่งถูกเอารัดเอาเปรียบมานานก็ได้รับเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์จากประเทศที่เอาเปรียบภาษีศุลกากรซึ่งถูกเรียกเก็บแล้ว” ประธานาธิบดีกล่าวในโพสต์บน Truth Social
แต่มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นว่ากำแพงภาษีศุลกากรอาจส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง และอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมันในที่สุด
ภาษีศุลกากรอัตราสูงจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์นี้ “น่าจะผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และอาจรวมถึงเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้” ตามรายงานของธนาคารเจพีมอร์แกน (JPMorgan) ในวันพฤหัสบดี โดยได้เพิ่มโอกาสที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้เป็น 60% หลังจากเริ่มใช้ภาษีศุลกากร เพิ่มขึ้นจาก 40%
ธนาคารแห่งอเมริกา (Bank of America) คาดว่าสงครามการค้าจะทำให้ความต้องการน้ำมันลดลงครึ่งหนึ่งในปีนี้ ในช่วงเวลาเดียวกับที่กลุ่มโอเปกพลัส กำลังเพิ่มการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้มีการผลิตน้ำมันเกินดุลถึง 1.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามข้อมูลของธนาคาร
นักวิเคราะห์ของ Bank of America ซึ่งนำโดย คาเลอิ อากามิเนะกล่าวกับลูกค้าในบันทึกประจำวันจันทร์ว่า "หากนี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เราเชื่อว่าราคาน้ำมันและมูลค่าหุ้นของบริษัทน้ำมันยังมีโอกาสลดลงได้อีก"
ในวันอาทิตย์ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในเดือนธันวาคม 2025 ลง 4 ดอลลาร์ เป็น 58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสำหรับน้ำมันดิบของสหรัฐฯ และ 62 ดอลลาร์สำหรับน้ำมันเบรนท์ ธนาคารเพื่อการลงทุนคาดว่าราคาน้ำมันจะลดลงต่อไปในปี 2026 โดยราคาน้ำมันดิบของสหรัฐฯ และน้ำมันเบรนท์จะอยู่ที่ 55 ดอลลาร์และ 58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลตามลำดับ
ผู้ผลิตน้ำมันดิบสหรัฐอาจจะลดการผลิต
ราคาน้ำมันที่ลดลงอาจบังคับให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานของสหรัฐฯ ต้องลดการผลิต ราคาน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลนั้นต่ำกว่าจุดคุ้มทุนของบริษัทน้ำมันหินดินดานบางแห่งแล้ว เจฟฟ์ เคอร์รี หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้านพลังงานของบริษัท Carlyle กล่าว
“หากราคาน้ำมันลดลงต่ำกว่า 55 เหรียญสหรัฐฯ แสดงว่าราคาน้ำมันอยู่ต่ำกว่าค่าเศรษฐศาสตร์ของแอ่งเพอร์เมียนแล้ว” เคอร์รีกล่าวกับซีเอ็นบีซี เมื่อวันจันทร์ แอ่งเพอร์เมียนเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่มีปริมาณมากที่สุดในสหรัฐฯ เคอร์รีกล่าวว่าราคาน้ำมันดิบของสหรัฐฯ อาจลดลงต่ำกว่า 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
“มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาน้ำมันจะร่วงลงต่ำจนเกินไป” เขากล่าว พร้อมระบุว่าตลาดมีอุปทานล้นเกินอยู่แล้ว
นาตาชา คาเนวา หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ของ JPMorgan ระบุในบันทึกประจำวันศุกร์ว่า เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาทิศทางโดยรวมของตลาด เนื่องจากประเทศต่างๆกำลังของเจรจากับทรัมป์ เพื่อต่อรองให้อัตราภาษีต่ำลง
อย่างไรก็ตาม สำหรับราคาน้ำมัน “แนวโน้มเป็นไปในทิศทางเดียวอย่างชัดเจน” คาเนวากล่าว






