รัฐเดินยุทธศาสตร์เจรจาสหรัฐเพิ่มออร์เดอร์สินค้า - ไม่รีบลดภาษี

นายกฯ นัดประชุมรับมือเส้นตายภาษีทรัมป์ 8 เม.ย.68 เคาะแผนรับมือ ดัน “พิชัย ชุณหวชิร” หัวหน้าทีมลุยสหรัฐ 17 เม.ย.68 นี้ วางกรอบ 3 เรื่อง เจรจาปรับดุลการค้า ลดภาษี
KEY
POINTS
- นายกฯ นัดประชุมรับมือเส้นตายภาษีทรัมป์ 8 เม.ย.68 เคาะแผนรับมือ
- ดัน “พิชัย ชุณหวชิร” หัวหน้าทีมลุยสหรัฐ 17 เม.ย.68 นี้
- วางกรอบ 4 เรื่อง เจรจาปรับดุลการค้า ลดภาษี เพิ่มนำเข้าหนุนลงทุนสหรัฐ
- พร้อมเพิ่มความร่วมมือทหาร ลดพึ่งพาจีน ลดใช้ไทยเป็นฐานส่งออกจีน
ภายหลังจากที่สหรัฐโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วโลก โดยไทยถูกขึ้นภาษี 36% ซึ่งการประเมินของรัฐบาลคาดว่ากระทบจีดีพีของปี 2568 ประมาณ 1%
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานเกี่ยวกับมาตรการการค้าสหรัฐอเมริกา วันที่ 8 เม.ย.2568 โดยที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการรับมือมาตรการทางภาษีจากสหรัฐ โดยแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา วันที่ 6 ม.ค.2568 ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 6 เม.ย.2568 ยืนยันว่าได้สรุปข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐด้านพลังงาน อากาศยาน และสินค้าเกษตร รวมทั้งจะเจรจาส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐ และลดเงื่อนไขการนำเข้าที่เป็นอุปสรรค รวมไปถึงการปราบปรามการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านไปสหรัฐ
การเจรจากับสหรัฐจะมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง เดินทางไปสหรัฐวันที่ 17 เม.ย.2568 เพื่อหารือภาครัฐ และเอกชนของสหรัฐ
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผย กรุงเทพธุรกิจว่า รัฐบาลติดต่อสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) เพื่อขอเจรจาลดผลกระทบจากการขึ้นภาษี โดยติดต่อไปตั้งแต่เดือนม.ค.2568 แต่ยังไม่ได้มีการตอบรับ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอีกหลายประเทศที่ขอเจรจากับสหรัฐก่อนหน้านี้ เช่น เวียดนาม และญี่ปุ่น
ทั้งนี้ คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา คาดว่า สหรัฐจะเปิดให้ประเทศที่ถูกประกาศขึ้นภาษีเริ่มการเจรจากับสหรัฐได้ เพราะอัตราภาษีที่ประกาศสูงมาก และเป็นลักษณะการทำงานของทรัมป์ ที่ต้องการขึ้นภาษีกับประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้ามากในอัตราสูงเพื่อให้เข้ามาเจรจาต่อรอง
วางการทำงานเจรจาสหรัฐ 2 ระดับ
สำหรับเป้าหมายของรัฐบาลจะใช้ช่องทางที่หลากหลาย และความพยายามมากขึ้นในการขอเจรจากับสหรัฐ โดยหวังว่าอาจเลื่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าหลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการเลื่อนการขึ้นภาษีแคนาดา และเม็กซิโก ซึ่งรัฐบาลวางการทำงาน 2 ระดับ คือ
1.ระดับทีมยุทธศาสตร์ที่วางแผนการเจรจาและทีมเจรจา โดยมีคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ที่มีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะทำงาน โดยมีนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ประชุมที่บ้านพิษณุโลกทุกสัปดาห์เพื่อสนับสนุนการวางแผน และทิศทางเจรจา
2.ระดับคณะเจรจา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะทีมเจรจาของทีมไทยแลนด์ ซึ่งนายพิชัย จะเจรจาได้ทั้งมาตรการภาษี มาตรการการลงทุน และการอำนวยความสะดวกการค้าการลงทุน
ไทยลดภาษีเป็นทางเลือกสุดท้าย
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า สำหรับขอบเขตการเจรจานั้นแบ่งออกเป็น 3 แนวทาง ได้แก่
1.การเจรจาลดภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทให้สหรัฐ โดยสินค้าบางประเภทเก็บภาษีนำเข้าสูงมากเพราะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น ไวน์ บิ๊กไบค์ ซึ่งการลดภาษีนำเข้าจะเป็นทางเลือกลำดับท้าย เพราะการลดภาษีนำเข้าจะต้องลดให้กับประเทศอื่นด้วย
ทั้งนี้ ในการเตรียมแผนการเจรจาได้ยกประเด็นการลดภาษีนำเข้าเนื้อจากสหรัฐ โดยมีการระบุถึงการที่ไทยลดภาษีนำเข้าเนื้อวัว และเนื้อสุกรให้ออสเตรเลียเป็น 0% ในปี 2568 ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-ออสเตรเลีย
2.การเจรจาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ซึ่งได้หารือภาคเอกชนแล้วในกรณีต้องนำสินค้าเข้ามาจากแหล่งอื่น และเป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มได้ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื้อสัตว์ นมผง สินค้าพลังงาน รวมทั้งไทยจะพิจารณานำเข้าสินค้าเกษตรที่มีความอ่อนไหว เช่น นำเข้าเครื่องในสุกรมาผลิตอาหารสัตว์ส่งกลับไปสหรัฐ
นอกจากนี้จะพิจารณานำเข้าก๊าซธรรมชาติจาก โครงการใหม่จากอลาสก้า ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นมีแผนนำเข้า รวมทั้งการนำเข้าก๊าซอีเทน ซึ่งกลุ่ม ปตท.นำเข้า 400,000 ตัน
เล็งเร่งจ่ายเงินซื้อโบอิง ช่วยลดขาดดุล
รวมถึงการนำเข้าเครื่องบินโบอิงเพิ่มมูลค่าส่งออกให้สหรัฐ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รายงานรัฐบาลถึงแผนการจัดหาเครื่องบินโบอิงที่ได้ทำสัญญาแล้วรวม 45 ลำ ซึ่งการบินไทยได้วางเงินมัดจำไปแล้วและทยอยจ่ายส่วนที่เหลือเมื่อรับมอบ และจะเริ่มปี 2570
นอกจากไทยเพิ่มการนำเข้าได้เพื่อลดการขาดดุลการค้าจากสหรัฐแล้ว อาจต้องเปิดเสรีภาคบริการบางสาขาที่สหรัฐเรียกร้องมานาน
รวมทั้งรัฐบาลจะส่งเสริมให้ธุรกิจไทยที่มีศักยภาพเพียงพอขยายธุรกิจเข้าไปในสหรัฐ เช่น ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเกษตร ขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพเพียงพอให้ไปลงทุนในสหรัฐเพื่อเพิ่มความร่วมมือในทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศ
3.การเพิ่มความร่วมมือ และการอำนวยความสะดวกการค้าให้สหรัฐ รวมทั้งเจรจาเงื่อนไขอื่น เช่น การปกป้องผลประโยชน์การค้าของสหรัฐในไทยด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่สหรัฐมีรายงานว่าไทยมีสัดส่วนการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูง
4.การเพิ่มความร่วมมือทางการทหาร รวมทั้งการลดสัดส่วนการพึ่งพาการค้าจีน โดยเฉพาะการที่เปิดโอกาสให้จีนมาลงทุนไทย และใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าจากจีนเพื่อส่งไปขายยังสหรัฐ ซึ่งต้องนำมาหารือกันบนโต๊ะเจรจาระหว่างไทย และสหรัฐ
หวังเก็บกระสุนลดภาษีไว้ต่อรอง
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในรายการอินไซด์ไทยแลนด์ว่า ทีมนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ได้วางยุทธศาสตร์ และวิธีการทำงานมาตลอด 3 เดือน โดยศึกษาท่าทีหลายประเทศที่รีบร้อนเสนอสหรัฐในลักษณะการยกของฟรีให้ ซึ่งไทยจะไม่รีบร้อนลดภาษีแต่จะเก็บกระสุนไว้ต่อรอง
“ทรัมป์ไม่ต้องการลดภาษีเพราะประเทศที่จะลดภาษีให้ต้องมีข้อเสนอที่ Miracle (มหัศจรรย์) ให้สหรัฐ ซึ่งไทยไม่ข้อเสนอที่มหัศจรรย์สำหรับสหรัฐ จึงเดินสายกลางเพื่อหาทางออกว่าจะอยู่กับสหรัฐในยุคทรัมป์ใหม่อย่างไร” นายศุภวุฒิ กล่าว
สำหรับระบบการเจรจาของสหรัฐเป็นการเจรจากับ USTR ที่เป็นตัวแทน 20 กลุ่มการค้า ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักเจรจา ดังนั้นการเจรจาจะใช้กลุ่ม Trade Policy Group ก่อน เพื่อเจรจาระดับเจ้าหน้า ส่วนที่ไม่ได้ข้อสรุปจะเจรจาระดับรัฐมนตรี
“พิชัย”หารือสร้างพันธมิตรสหรัฐ
ขณะที่การเดินทางไปสหรัฐของนายพิชัย ไม่เป็นการไปเจรจากับทางการสหรัฐ โดยจะเป็นการไปหารือหลายภาคส่วนที่เป็นส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อหาทางสร้างยุทธศาสตร์ที่ประเมินแนวทางได้ เช่น การพบกลุ่มเกษตรกรที่จะขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่ว
“ไทยเป็นประเทศเล็กต้องหาอำนาจต่อรองและหาแนวร่วมที่เป็นพันธมิตรในสหรัฐ ซึ่งเป็นวิธีการทำงานที่นายพันศักดิ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษา ได้ประเมินแล้วว่าจะเดินหน้าไปแนวทางนี้”
ส่วนการเยียวยาระยะสั้นมีกองทุนเยียวยาที่มีวงเงิน 3,000 ล้านบาท สำหรับเยียวยาผู้ประกอบการ และเอสเอ็มอี โดยระยะสั้นจะช่วยสภาพคล่อง จ่ายดอกเบี้ย หรือส่งเสริมหาตลาดใหม่ โดยการช่วยเหลือจะโฟกัสเฉพาะบริษัท และเอสเอ็มอีไทยที่ได้รับปัญหา
ขณะที่บริษัทใหญ่ที่จดทะเบียนในไทยใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกไปสหรัฐ เช่น ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ที่มีมูลค่าส่งออกหลักแสนล้านบาทต่อปี ซึ่งต้องหารือสหรัฐว่าจะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไร เพราะบริษัทเหล่านี้ตั้งในไทยจะถูกภาษีนำเข้าสหรัฐมากเช่นกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







