TDRI แนะรับมือสังคมสูงวัย ดึงศักยภาพวัยเก๋าเติมศักยภาพเศรษฐกิจ

TDRI ชี้ Silver Economy ทางรอดของสังคมสูงวัยไทย “แก่ก่อนรวย” ไม่ใช่ทางตัน แนะภาครัฐเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ พบผู้สูงอายุทำงาน 5 ล้านคนจาก 13 ล้านคน แนะจ้างงาน
KEY
POINTS
- ทีดีอาร์ไอชี้ Silver Economy ทางรอดของสังคมสูงวัยไทย
- ชี้“แก่ก่อนรวย” ไม่ใช่ทางตัน แนะภาครัฐเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ
- พบผู้สูงอายุทำงาน 5 ล้านคนจาก 13 ล้านคน หวังรัฐดึงศักยภาพสูงวัยเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น
- แนะรัฐเร่งอุด 4 ช่องว่างลดทอนศักยภาพผู้สูงวัยให้มีศักยภาพมากขึ้น
ประเทศไทยกำลังอยู่ในสังคมสูงวัยและจากข้อมูลโครงสร้างของประชากร พบว่าสัดส่วนของผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากเดิมในปี 2556 ประเทศไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ 14.3% มาสู่สัดส่วนผู้สูงอายุ 20.2% ในปี 2023 ซึ่งถือได้ว่าเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย และในอีก 10 ปีต่อมาจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 27.5% ซึ่งสะท้อนว่าประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สถานะการเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์อย่างรวดเร็วกว่าอีกหลายประเทศ
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่าสถานการณ์ผู้สูงอายุ เมื่อพิจารณาเทียบกับต่างประเทศ จะพบว่า ในปี 2566 สัดส่วนผู้สูงอายุของไทยที่ 20.2% เทียบเคียงแล้วอยู่ต่ำกว่า ญี่ปุ่น (35.6%) ยุโรป (26.8%) สหรัฐอเมริกา (23.7%) แต่อยู่สูงกว่า จีน (19.6%) สิงคโปร์ (18.5%) และมาเลเซีย (11.3%)
ข้อสังเกตที่น่าสนใจประการหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนผู้สูงอายุของไทยอยู่ในระดับที่สูงมาก โดยหากเทียบค่าสถิติการเปลี่ยนแปลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงสูงเป็นอันดับสองที่ 13.2% เป็นรองแค่ประเทศจีนที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ 14.9% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมสูงวัยของไทยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสูงมาก
สังคมสูงวัยในบริบทของไทยจะมีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆ เนื่องจากประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยก่อนประเทศอื่นในปัจจุบันจะเป็นประเทศที่รายได้ระดับสูงแล้ว เรียกได้ว่าเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบ “รวย” ก่อน “แก่” ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งได้เข้ามาเป็นสังคมสูงวัยในช่วงที่ประเทศยังอยู่ในระดับรายได้ปานกลางขั้นสูง จึงเป็นการเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบ “แก่” ก่อน “รวย”
แนะใช้โมเดลยืดการสร้างรายได้สูงวัย
ในแง่มุมนี้ ทำให้โจทย์ความท้าทายในเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อรองรับสังคมสูงวัยจะไม่สามารถให้น้ำหนักแค่การสนับสนุนการสร้างสินค้าและบริการให้กับผู้สูงอายุที่มีฐานะ มีเงินออมเพื่อเกษียณอายุเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงทั้ง การยกระดับความสามารถเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณ และการดึงเอาศักยภาพของแรงงานไทยและในกลุ่มผู้สูงอายุให้มีสุขภาวะแข็งแรงขึ้น มีทักษะการทำงานที่สูงขึ้น และยืดอายุค่าเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี (Healthy Adjusted Life Expectancy: HALE) สามารถทำงานสร้างรายได้ได้ยาวนานมากขึ้น ซึ่งเป็นโจทย์ที่สำคัญสำหรับประเทศที่แก่ก่อนรวยเข้าไปด้วย
ในแง่มุมของการดึงเอาศักยภาพแรงงานและผู้สูงอายุเข้ามามีส่วนร่วมกับระบบเศรษฐกิจ พบว่าสถานการณ์ในปัจจุบันมีความน่ากังวลใจมาก เนื่องจากหากเปรียบเทียบกับประเทศที่กำลังพัฒนาในระดับใกล้เคียงกันกับไทย และประเทศที่พัฒนาแล้ว จะพบว่าอายุเกษียณของประเทศเหล่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 60 ปีสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาในระดับใกล้เคียงกันกับของไทย และ 65 ปีสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว และเมื่อพิจารณาแนวโน้มของอายุเกษียณจะพบว่ามีความพยายามในการดันอายุเกษียณให้เพิ่มขึ้น แต่ในกรณีของไทยกลับพบว่าอายุเกษียณของแรงงานไทย แม้ว่าโดยส่วนใหญ่จะไม่ได้มีการกำหนดอายุเกษียณที่แน่ชัด แต่จากพฤติกรรมของแรงงานพบว่ามีแรงงานในระบบกลุ่มใหญ่ (ยกเว้นข้าราชการ) มีการเกษียณอายุที่ประมาณ 55 ปี ในขณะที่บางกลุ่มอาชีพมีการเกษียณอายุออกก่อน 55 ปีเสียอีก
ผู้สูงอายุไทยอยู่ในตลาดแรงงาน 5 ล้านคน
ในขณะที่ผู้สูงอายุที่มีงานทำหลังอายุ 60 ปีมีเพียงประมาณ 5 ล้านคนจากจำนวนผู้สูงอายุในปัจจุบันประมาณ 13-14 ล้านคน ซึ่งสะท้อนให้เห็นช่องว่างในการดึงศักยภาพของแรงงานและผู้สูงอายุให้เข้ามามีส่วนร่วมสร้างเศรษฐกิจรองรับสังคมสูงวัยให้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะช่วยในด้านนี้จะต้องผลักดันแนวคิดเรื่องงานที่ 2 (Second Job) ซึ่งหมายถึงการปรับทัศนคติแรงงานร่วมกับการสร้างกลไกสนับสนุนจากภาครัฐในการช่วยสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนงานที่ยึดหยุ่น มีประสิทธิภาพในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ตัวอย่างเช่น การพัฒนาอาชีพผู้แนะแนวที่ให้คำปรึกษาการเปลี่ยนงานเฉพาะบุคคล คอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับทักษะการทำงานที่เป็นที่ต้องการในตลาด การให้คำแนะนำเรื่องการปรับเปลี่ยนทักษะเพื่อให้เกิดการจ้างงาน การพัฒนาระบบจับคู่งานที่ช่วยพยากรณ์ทิศทางอนาคตและวางยุทธศาสตร์ของประเทศในระยะยาว ช่วยเชื่อมคนกับตำแหน่งงานที่เหมาะสม และเชื่อมโยงองคาพยพอื่นๆ เข้ามาหนุนเสริม เช่น เงินทุน นวัตกรรม
หนุนภาคธุรกิจจ้างงานสูงวัยมากขึ้น
การสนับสนุนแนวคิดเรื่อง Re-employment ที่กำหนดให้ภาคธุรกิจต้องสนับสนุนให้แรงงานที่สูงอายุมีโอกาสในการทำงานมากขึ้น โดยภาคธุรกิจต้องพิจารณาใช้ความสามารถของแรงงานให้ได้มากที่สุด เช่น ปรับเปลี่ยนตำแหน่ง/ค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับข้อจำกัดทางด้านอายุ หรือธุรกิจต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อนำมาใช้ฝึกทักษะให้กับแรงงานที่ไม่สามารถทำงานต่อกับธุรกิจเดิมได้ เพื่อให้แรงงานสามารถเรียนรู้และออกไปหางานอื่นได้มากขึ้น
กลไกในการสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานสำหรับแรงงานนอกระบบ ต้องมีการยกระดับการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่สามารถทำงานอย่างแยกส่วนทำงานกันได้ แต่ต้องทำงานแบบสอดประสานกัน ทั้งการยกระดับทักษะแรงงาน การสนับสนุนปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ การสนับสนุนทางการเงิน การจับคู่ตำแหน่งงาน และสร้างตลาดให้กับสินค้าและบริการ ต้องเดินหน้าไปพร้อมๆกัน
แนะอุด 4 ช่องว่างลดศักยภาพสูงวัย
สำหรับในแง่มุมของการสนับสนุนการสร้างสินค้าและบริการให้กับผู้สูงอายุ และประเด็นที่ลดทอนศักยภาพของผู้สูงอายุพบว่ามี 4 ประเด็นที่น่าสนใจคือ
1. ช่องว่างในเชิงนโยบายที่สำคัญ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากปัญหาผลกระทบจากทั้งภายในและภายนอก (Internalities and externalities) โดยคนไทยบางส่วนยังขาดการเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านสุขภาพ คือ มีการบริโภคเหล้า บุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้าในระดับที่สูง ขาดการออกกำลังกาย และการขาดเตรียมความพร้อมทางด้านการเงิน คือ การแก้ไขปัญหาหนี้สิน และมุ่งเน้นการออมเพื่อใช้ในยามเกษียณอายุ รวมไปถึงภัยคุกคามการหลอกลวงจากมิจฉาชีพ ซึ่งต้องการนโยบายภาครัฐในการเข้ามาช่วยปรับพฤติกรรมให้เกิดความเหมาะสม รวมถึงการวางกลไกกำกับดูแลป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น
2. ช่องว่างในเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนของข้อมูลที่สูง (high information cost) และปัญหาข้อมูลที่ไม่เท่าเทียมกัน (asymmetric information) เช่น การศึกษาข้อมูลเพื่อลงทุน การแสวงหาข้อเท็จจริงทางด้านสุขภาพ ข้อมูลคุณภาพของสินค้าและบริการสำหรับผู้สูงอายุ ต่างก็เป็นต้นทุนที่สูงสำหรับผู้บริโภค ในขณะที่การเข้าใจความต้องการเฉพาะของกลุ่มผู้สูงอายุ หรือ ของกลุ่ม LGBTQIAN+ เป็นต้นทุนที่สูงสำหรับผู้ผลิต การปล่อยให้ผู้บริโภค กับผู้ผลิตต้องแสวงหาข้อมูลกันเองจะก่อให้เกิดต้นทุนที่สูง และทำให้ผลลัพธ์ขาดประสิทธิภาพ ดังจะเห็นได้จาก ผลลัพธ์ทางด้านการลงทุนของครัวเรือนบางกลุ่มทำได้ไม่ดีนักเพราะขาดความรู้ทางด้านการเงิน ผู้บริโภคบางส่วนถูกละเมิดสิทธิเนื่องจากไม่ทราบข้อมูลคุณภาพของสินค้าและบริการที่ชัดเจน รวมไปถึง การขาดผู้ผลิตสินค้าและบริการเนื่องจากการขาดข้อมูลความต้องการสินค้าที่ชัดเจน เป็นต้น ปัญหาในกลุ่มนี้ต้องการภาครัฐเข้ามาเป็นผู้ช่วยในการสร้างกลไกสนับสนุนแก้ไขปัญหาความไม่สมบูรณ์ทางด้านข้อมูลที่เกิดขึ้น
3. ปัญหาที่เกิดขึ้นบางส่วนเกิดขึ้นจากภาครัฐเอง ซึ่งมีทั้งภาครัฐเข้ามาสนับสนุนสุราเสรีซึ่งอาจจะเป็นการสนับสนุนบริโภคเกินขนาด การขาดการกำกับดูแลให้ภาคธุรกิจมีการแข่งขัน ทำให้ผู้บริโภคอาจจะต้องเผชิญกับการเอารัดเอาเปรียบจากภาคธุรกิจที่มีอำนาจผูกขาด การเข้ามาแทรกแซงกลไกตลาดโดยภาครัฐเข้ามาดำเนินการแทน เช่น โครงการบ้านเพื่อคนไทย ที่แม้ว่าจะมีเจตนาในการให้ประชาชนมีบ้านเช่าราคาถูก แต่ก็เป็นการเข้ามาแข่งขันกับภาคเอกชนที่ให้บริการเช่าที่พักอาศัยอยู่ ตลอดจนการขาดการกำกับดูแล การสนับสนุนผลักดันให้ภาครัฐและเอกชนดำเนินการตามระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมายที่มีอยู่ รวมไปถึงที่ควรจะเป็น เช่น การผลักดันเรื่องการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล (Universal Design) ในพื้นที่ภาคเอกชนและรัฐ
4.ภาครัฐควรจะพิจารณาข้อถกเถียงในเรื่องการสนับสนุนการพัฒนาสินค้าและบริการของธุรกิจไทย ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากต่างประเทศ ว่าควรจะต้องมีการสนับสนุนสินค้าและบริการหรือไม่ มากน้อยเพียงใด โดยประเด็นในส่วนนี้เป็นข้อถกเถียงในเรื่องของการวางนโยบายอุตสาหกรรม (industrial policy) อย่างเหมาะสม ซึ่งผู้เขียนพบว่าในปัจจุบันสินค้าและบริการสำหรับผู้สูงอายุบางส่วนกำลังถูกครองตลาดโดยธุรกิจต่างประเทศทั้งในรูปแบบของการนำเข้า และที่เข้ามาตั้งธุรกิจในไทย เช่น สินค้าสุขภาพพื้นฐาน (แว่นตา ผ้าอ้อม) สินค้าเทคโนโลยีการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ สินค้าเทคโนโลยีสุขภาพ สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตทุกสิ่ง (Internet of Things) บริการสถานออกกำลังกาย บริการบนแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นต้น
“ปัญหาสังคมสูงวัยไม่ใช่แค่เรื่องสูงวัย แต่คือเรื่องอนาคตของเศรษฐกิจไทย โดยหากรัฐและเอกชนร่วมกันปิดช่องว่างนโยบายและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน จะสามารถแปลงความท้าทายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศได้อย่างแท้จริง”