นักวิชาการ หนุนเอนเตอร์เทนเมนต์ ออกไลเซนส์ 10 หัวเมืองท่องเที่ยว

นักวิชาการ หนุนเอนเตอร์เทนเมนต์ ออกไลเซนส์ 10 หัวเมืองท่องเที่ยว

นักวิชาการหนุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แนะออกใบอนุญาต 5-10 ใบ หนุนท่องเที่ยว การลงทุน และรายได้ส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าไทยกว่า 1 ล้านล้าน เพิ่มเม็ดเงินในเศรษฐกิจ

ดร.ณรงค์ชัย ใหญ่สว่าง  ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และม.กรุงเทพ อินเตอร์ กล่าวถึงการผลักดัน นโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาลว่าเรื่องนี้ถือเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจของไทยที่มีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องผลักดันเป็นเรื่องเร่งด่วนเพราะในปัจจุบันปัญหาเศรษฐกิจของไทยถือว่ามีหลายเรื่อง เช่น การที่ถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีการค้า 36% ไทยอาจเสียการเป็นฐานการผลิต ต้องดึงเงินต่างชาติเข้ามาทันที และควรต้องมีการลงทุนในหลายจุดเพื่อดึงเงินเข้ามาในประเทศ  

“โดยหากผลักดันนโยบายนี้สำเร็จจะมีเงินจะไหลเข้ามาช่วยเสริมเศรษฐกิจไทย (GDP) จำนวนมาก โดยลงทุน 1 แห่ง จะดันจีดีพีได้ และต้องผลักดันให้มีการลงทุนในที่ที่เหมาะสม สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ และเม็ดเงินที่ประเทศต้องการ”ดร.ณรงค์ชัย กล่าว

ทั้งนี้สำหรับจำนวนการลงทุนสถานที่เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในประเทศไทยควรมีการสนับสนุนให้มีในสถานที่ท่องเที่ยว 5-10 หัวเมือง เพื่อสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยให้เป็นการดึงต่างชาติที่มีเงินเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้นโดยเฉพาะลูกค้าระดับ VIP ที่มีกำลังการใช้จ่ายสูงให้เข้ามาท่องเที่่ยวในประเทศ ซึ่งในแต่ละแห่งการมีกาสิโน ดึงลูกค้ากระเป๋าหนักที่เข้ามา เล่นกาสิโน เสี่ยงโชค และทำให้มีอีเวนต์ตามมา เหมือนที่สิงคโปร์ทำให้มีกิจกรรมครบวงจร

ถ้าไม่มีแหล่งท่องเที่ยวลักษณะนี้เราก็จะล้าหลังในการผลักดันการท่องเที่ยวเพราะตอนนี้ส่วนใหญ่มีแหล่งท่องเที่ยวแบบที่เป็นการออกแบบคนที่เป็น “man-made destination”  เพื่อดึงเม็ดเงินเข้าประเทศทั้งสิ้น  

สำหรับจำนวนใบอนุญาต (ไลเซนส์) 5 ถึง 10 ใบของเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทยจะช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้และภาครัฐมีเม็ดเงินที่จะช่วยกลุ่มเปราะบาง และลดหนี้สาธารณะต่อจีดีพีได้ โดยมีการควบคุมให้ลงทุนจริง

สำหรับกำไรที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของกาสิโนมีกำไรจริงๆไม่เกิน 10% ในการดำเนินการต่แห่งเนื่องจากมีการกำหนดให้เอากำไรในสัดส่วนที่ได้มาลงทุนต่อ 70% ต่อเนื่อง 3 ปี รัฐเก็บภาษีได้ต่อเนื่อง โดยหากรัฐบาลสามารถเก็บรายได้จากธุรกิจนี้ได้ประมาณ 2 แสนล้านบาทก็เท่ากับเราสามารถที่จะเก็บภาษีได้เท่ากับรายจ่ายที่รัฐบาลเก็บสำหรับงบประมาณที่ใช้ใน 30 บาทรักษาทุกโรคที่ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

 

ดร.ณรงค์ชัยกล่าวถึงกระแสของการต่อต้านเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่บอกว่ามีหลายแห่งในประเทศโมเดลทั่วโลกประสบความสำเร็จถึง 75% ที่ทำเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ไม่สำเร็จเพราะการบังคับใช้กฎหมายไม่ดี แต่ถ้าออกแบบกฎหมายให้ดีจะเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจมาก โดยจากการศึกษาพบว่าในเงิน 1 ล้านบาท ที่ลงไปในเอนเตอร์เทนเมนต์มีการจ่ายเงินในภาคบริการหมุนเวียน 2-3 เท่า และยังมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งกฎหมายของไทยเองก็ออกแบบให้มี 12 กิจการร่วมกันสนับสนุนโครงการ การประสบผลสำเร็จในการลงทุนจึงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ประกอบกับเรามีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เช่น  สนามบินนานาชาติ ถนน และไฟฟ้า ที่รองรับการลงทุน ดังนั้นจึงคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงมาก

กรณีร่างกฎหมายระบุว่าให้มีเงินฝากในบัญชี 50 ล้านบาทขึ้นไปดร.ณรงค์ชัยมองว่า การกำหนดแบบนี้อาจทำให้มีปัญหาตามมา โดยบางประเทศดูสถานการณ์ทางการเงินของผู้ที่จะเข้ามาเล่น หากมีอัตราหนี้เสียมากเกินไป ถ้ามีหนี้เกิน 50% จากรายได้ทั่งหมดก็ไม่สามารถเล่นได้ โดยเงื่อนไขเหล่านี้รัฐบาลสามารถกำหนดให้มีการตรวจเช็กจากเครดิตบูโร ถ้าเครดิตทางการเงินไม่ดีก็ไม่ให้เข้ามาเล่น นอกจากนั้นในโมเดลของเอนเตอร์เทนเมนต์ฯหลายๆแห่งนั้นดูไปถึงพฤติกรรมของคนเล่น เช่น  ลาสเวกัสนำเทคโนโลยี AI  มาดูพฤติกรรมคนเล่น ไม่ให้ติดการพนันมากเกินไป  เช่น กำหนดวันให้เล่นต่อสัปดาห์ ให้จำกัดได้โดยมีระบบในการตรวจสอบ การกำหนดอายุขั้นต่ำในการเข้าไปเล่นได้ เพื่อให้เยาวชนไม่เข้าไปเล่นในกาสิโน เป็นต้น รวมทั้งให้มีการยืนยันยันตัวตน (KYC) กับสถาบันการเงินก่อนใช้บริการ  

นักวิชาการ หนุนเอนเตอร์เทนเมนต์ ออกไลเซนส์ 10 หัวเมืองท่องเที่ยว

“วงเงินที่กำหนดไว้ว่าต้องมี 50,000,000 ในบัญชี นั้นสูงเกินไปในร่างกฎหมาย ไม่มีประเทศไหนกำหนดไว้ ตอนนี้ถ้าไปจำกัดก็ไปเปิดช่องให้เล่นบ่อนผิดกฎหมายใต้ดิน ถ้ากำหนดแบบนี้ ก็ไม่แก้ปัญหากลุ่มใต้ดินที่ได้ประโยชน์ คนเสียประโยชน์จากนโยบายนี้ของไทยก็อาจเตะถ่วงออกไป“ ดร.ณรงค์ชัย กล่าว

เปิดฉากหลัง 5 กลุ่มคัดค้านเอนเตอร์เทนเมนต์

เขากล่าวด้วยว่าปัจจุบันมีผู้ที่คัดค้านนโยบายนี้มีการเคลื่อนไหว โดยสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีการเคลื่อนไหวคัดค้านนโยบายนี้ แบ่งได้ดังนี้

1.กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากคู่แข่งขันของไทย  เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยเราเป็นเป้าหมายเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเยอะและอยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ที่ดี มีการขนส่งที่ดีถ้าเรามีสเตทเม้นท์คอมเพล็กซ์จะดึงดูดนักลงทุนได้อีกมากซึ่งมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อการลงทุนหนึ่งอย่างจะอยู่ที่ 1 -2 ล้านล้านบาท ถ้าหากประเทศไทยเกิดการลงทุนในเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆก็จะเสียประโยชน์ ไม่ต่างกับที่เคยผลักดันเรื่องของแลนบิดจ์ที่เราเคยใช้มาในอดีต น่าจะมีเพื่อนบ้านมาสนเม็ดเงินให้กับคนที่มาต่อต้านสเตทเม้นท์คอมเพล็กซ์ในประเทศไทย

2.กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจผิดกฎหมายในไทย โดยมีการศึกษาว่าธุรกิจผิดกฎหมายในไทยที่มีมูลค่า 1.1 ล้านล้านบาท ดังนั้นคนที่เป็นเจ้าของบ่อนหรือธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆก็จะมีการเอาเม็ดเงินออกมาจ้างคนประท้วงเม็ดเงินที่ไหลลงมาบางส่วนมาจ้างผู้ประท้วงให้เป็นแรงต้าน

3. แรงต้านจากทางเรื่องการเมือง ซึ่งจะมีแกนนำที่สนับสนุนจากทางการเมืองเป็นกลุ่มเดิมๆที่ประท้วงรัฐบาลในประเด็นต่างๆที่ต้องการล้มรัฐบาล ซึ่งกลุ่มเหล่านี้

“กลุ่มนี้ถือว่าขัดขวางความเจริญของประเทศรวมทั้งทำให้ภาครัฐขาดเม็ดเงินที่จะไปทำสวัสดิการ กระทบกลุ่มเปราะบาง 15 ล้านรายของประเทศที่มีสิทธิ์จะได้เงินสนับสนุนประมาณ  39,000 บาทต่อปี ถ้าการลงทุนไม่เกิดก็ไม่มีเม็ดเงินมาใช้ในนโยบายนี้”

4. กลุ่มราชการสีเทาที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจผิดกฎหมาย เมื่อรัฐบาลจะผลักดันเอนเตอร์เทนเม้นคอมเพล็กซ์ทำให้กลุ่มนี้ไม่พอใจ ก็มีการเคลื่อนไหวโดยสนับสนุนเงินให้กับกลุ่มราชการสีเทาออกมาคัดค้านและเตะถ่วงนโยบายนี้ของรัฐบาล

 

5. กลุ่มมูลนิธิรณรงค์การแก้ปัญหาติดการพนันซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีปัญหาตรงที่ไม่ยอมให้มีการเปิดธุรกิจกาสิโนให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมายแบบที่ทั่วโลกใช้ในวิธีการแบบนี้ซึ่งจะมีการตรวจสอบเรื่องต่างๆได้อย่างโปร่งใส ซึ่งกลุ่มนี้มองว่ารัฐบาลสามารถทำความเข้าใจได้ว่าการผลักดันเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์แก้ไขเรื่องหนี้จากการพนันเกินตัว การป้องกันปัญหาที่จะนำไปสู่การก่ออาชญากรรมซึ่งธุรกิจที่ถูกกฎหมายเหล่านี้ถ้าทำได้จะดีต่อประเทศ ดีต่อตัวของผู้เล่นการพนันมากกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งรัฐบาลควรชวนกลุ่มนี้มาร่วมกันออกแบบกับภาครัฐดีกว่าด้วยซ้ำ