นักวิชาการ มธ. แนะ รบ.ยกหูเจรจา ‘ทรัมป์’ คืนนี้ ยิ่งช้ายิ่งเจ็บ

นักวิชาการ มธ. แนะ รบ.ยกหูเจรจา ‘ทรัมป์’ คืนนี้  ยิ่งช้ายิ่งเจ็บ

นักวิชาการมธ. ชี้ ทรัมป์ขึ้นภาษี วิกฤตเศรษฐกิจ รัฐต้องเร่งเจรจาคืนนี้ ชี้ เป็นเกมทางเศรษฐศาสตร์ ใครช้ายิ่งเจ็บ แนะเร่งบังคับใช้กม.เข้มข้น เร่งปรับโครงสร้างการผลิต

ผศ. ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยและโลกจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการประกาศขึ้นภาษีทางการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทว่าที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาก็ได้ส่งสัญญาณมาโดยตลอดว่าประเทศต่างๆ สามารถเข้าสู่กระบวนการเจรจาต่อรองเพื่อหาทางออกร่วมกันได้

สิ่งที่รัฐบาลไทยควรทำในเวลานี้คือการเข้าสู่การเจรจาให้เร็วที่สุด และต้องนำเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่มีน้ำหนักเพียงพอที่ทรัมป์จะพูดคุยด้วย ที่สำคัญก็คือระยะเวลาในการประสานงานเพื่อเจรจาจะมีผลอย่างมากต่อการยอมรับและเปิดใจ เพราะทรัมป์เป็นคนคิดเร็วตัดสินใจเร็ว ฉะนั้นความล่าช้าอาจทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่สะท้อนถึงความไม่จริงใจ และจะทำให้ไทยตกเป็นเบี้ยล่างในการเจรจาทันที

“คณะทำงานเจรจาของไทยต้องรีบประชุมเช้านี้ ช่วงบ่ายเตรียมตัว และอย่างช้าที่สุดคือภายในคืนนี้ ซึ่งฝั่งอเมริกาเป็นกลางวัน ต้องมีการยกหูโทรหาเพื่อพูดคุยข้อเสนอในเบื้องต้นแล้ว เพราะทุกประเทศรู้ว่าตอนนี้ถ้าประเทศไหนช้าสุดจะเสียเปรียบที่สุด จึงไม่มีใครยอมตกขบวน การช้าไปแค่นาทีเดียวก็จะกระทบหนัก การเร่งดำเนินการเรื่องนี้ภายใน 24 ชั่วโมงก็ยังถือว่าช้าที่สุด จะรอทำหนังสือเชิญประชุมกันไม่ได้แล้ว เพราะนี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ อเมริกาไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าทุกประเทศจะมาครบ แค่มาสัก 60% ของทั้งหมด เขาก็ไม่จำเป็นต้องแคร์อีก 40% ที่เหลือแล้ว นี่คือเกมทางเศรษฐศาสตร์ ที่ใครมาเร็วย่อมได้เปรียบ และยิ่งช้ายิ่งเจ็บ ยิ่งเสียเปรียบ” ผศ. ดร.เกียรติอนันต์ กล่าว

ผศ. ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวว่า ข้อเสนอของไทยที่คาดว่าจะเป็นที่ต้องการของสหรัฐอเมริกาคือ การผสมผสานระหว่างความต้องการด้านเศรษฐกิจที่ประสงค์ให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐอเมริกา โดยมีแผนการปฏิบัติงาน (Action Plan) อย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่คำพูดหรือคำสัญญาปากเปล่า เพื่อนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในประเทศ เพราะการมี Action Plan ที่ชัดเจนในการนำเสนอ คือวิธีคิดที่ทรัมป์ใช้ในการทำงานมาโดยตลอด

นอกจากนี้ ไทยต้องดำเนินการบนความเข้าใจในภูมิศาสตร์ทางการเมืองและบนความคาดหวังของสหรัฐอเมริกา นั่นคือการชี้แจงว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศจีนมากจนเกินไป เพราะการที่มีทุนจีนสีเทาเข้ามาในไทยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจทำให้สหรัฐอเมริการู้สึกว่า ไทยกำลังกลายเป็นฐานของจีนหรือไม่ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่คณะทำงานเจรจาของไทย ต้องแสดงและยึดมั่นความเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศไว้ให้ได้

“ผมเชื่อมั่นว่าคนเก่งๆ ที่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีของหน่วยงานรัฐมีอยู่เป็นมาก ผมเคยสัมผัสมา ฉะนั้นจึงอยู่ที่ผู้บริหารว่าจะเปิดโอกาสให้เขาแสดงศักยภาพหรือไม่ เมื่อเปิดโอกาสแล้วก็ต้องให้เวลา ให้ทรัพยากรที่เขาจำเป็นต้องใช้ไปทุกอย่าง และตอนนี้สถานการณ์มันก็ฉุกเฉินมากเกินกว่าที่ใครจะเอาหน้า และมากเกินกว่าจะมามองผลประโยชน์ของพรรคการเมือง มันคือผลประโยชน์ของประเทศชาติ เวลานี้คนเก่งต้องระดมกันมาทั้งหมด” นักวิชาการธรรมศาสตร์ ระบุ

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อว่า มาตรการการขึ้นภาษีครั้งใหญ่นี้ มีความเป็นไปได้ที่ ทรัมป์ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูใน 3 รูปแบบด้วยกัน คือ

1. แม้ว่าบางประเทศจะยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจและเปิดโต๊ะเจรจาด้วยความรวดเร็ว แต่ก็ยังจำเป็นต้องเชือดให้เห็น

2. การลับมีดรอไว้ก่อน แต่จะเชือดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับข้อเสนอว่ามีความน่าสนใจเพียงใด

3. ทำเสมือนว่าจะเชือดแต่แท้จริงแล้วคือยังไงก็กลับไปดูแล เพราะเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ซึ่งไทยต้องพยายามเข้าไปอยู่ในรูปแบบที่สองให้ได้

การขึ้นภาษีการค้า เช่นนี้ย่อมสร้างผลกระทบกับทุกประเทศ ดังนั้นการที่ไทยจะพยายามหาตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ คงเป็นไปไม่ได้ มากไปกว่านั้นคือประเทศยักษ์ใหญ่หลายแห่งก็โดนกำแพงภาษี ที่น่ากลัวคือจีนซึ่งมีคลังสินค้าอยู่มาก ก็จะนำสินค้าเหล่านั้นมาขายในประเทศไทยด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการไทยจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ดังนั้นรัฐบาลไทยจะต้องเร่งสร้างมาตรการกีดกันทางการค้า เพื่อป้องกันการไหลบ่าของสินค้าเข้ามา เราต้องสร้างกำแพงให้เข้มแข็งขึ้น คือกฎหมาย-ระเบียบต่างๆ ที่เรามีอยู่แล้วต้องบังคับใช้ให้เข้มงวด ไม่ปล่อยให้ง่ายเหมือนเมื่อก่อน” ผศ. ดร.เกียรติอนันต์ กล่าว

ผศ. ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวว่า ตอนนี้รัฐบาลอย่าเพิ่งไปคิดเรื่องพัฒนาเศรษฐกิจ ให้คิดแก้ปัญหาเรื่องนี้ก่อน เพื่อไม่ให้สถานการณ์มันแย่ไปกว่านี้ และรัฐบาลควรพลิกวิกฤติในครั้งนี้ให้กลายเป็นโอกาส ด้วยการปรับโครงสร้างการผลิตขนานใหญ่โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตถูกลง จะส่งผลให้ขายสินค้าราคาถูกได้มากขึ้น

มาตรการที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนของสหรัฐอเมริกานำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวของไทยได้ ซึ่งถึงเวลาที่เราจะได้ทำสิ่งที่มีการพูดคุยมานาน แน่นอนการเจรจาช่วยซื้อเวลา แต่ระยะยาวมีแต่วิธีนี้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วไปอาจไม่ได้รู้ว่าได้รับผลกระทบจากมาตรการเหล่านี้ในทันที เว้นแต่เป็นผู้ประกอบธุรกิจการส่งออก แต่ในท้ายที่สุดในวันหนึ่งก็จะกระทบ เพราะเมื่อยอดการส่งออกตกจะกระทบไปเป็นลูกโซ่ ทั้งการเลิกจ้าง มีคนตกงาน กำลังซื้อในประเทศลดลง อาจใช้เวลาสักหน่อยกว่าที่ประชาชนจะได้รับผลกระทบจริงๆ แต่จะมาอย่างแน่นอน และหากภาครัฐปล่อยให้สถานการณ์เดินไปถึงจุดนั้นก็จะแก้ไขได้ยากลำบากแล้ว

การแจกเงินในเวลานี้ก็ไม่ช่วย ซ้ำร้ายถ้ายิ่งแจกเงินในเวลานี้ มันจะยิ่งทำให้เราเหลือเงินในการสร้างกำแพงน้อยมาก” นักวิชาการธรรมศาสตร์ ระบุ