สัญญาใหม่ 'ไฮสปีดสามสนามบิน' วางแบงก์การันตี 1.6 แสนล้าน ใน 270 วัน

สัญญาใหม่ 'ไฮสปีดสามสนามบิน' วางแบงก์การันตี 1.6 แสนล้าน ใน 270 วัน

เปิดเงื่อนไขสัญญาใหม่ "ไฮสปีดสามสนามบิน" ภาครัฐยอมปรับเงื่อนไขสร้างไปจ่ายไป แต่ยันไม่เสียประโยชน์ จี้เอกชนวางแบงก์การันตีเพิ่ม 1.6 แสนล้านบาท ภายใน 270 วัน

KEY

POINTS

  • เปิดเงื่อนไขสัญญาใหม่ “ไฮสปีดสามสนามบิน” ภาครัฐยอมปรับเงื่อนไขสร้างไปจ่ายไป แต่ยันไม่เสียประโยชน์ จ่อเสนอ ครม.ลงนามสัญญา มิ.ย.นี้
  • จี้เอกชนวางแบงก์การันตีเพิ่ม 1.6 แสนล้านบาท ภายใน 270 วัน โดยวันลงนามสัญญาใหม่ เอกชนต้องชำระค่าสิทธิบริหาร ARL งวดแรกทันทีประมาณ 1,500 ล้านบาท
  • ด้านการรถไฟฯ พร้อมออกหนังสือ NTP เพื่อให้เอกชนเริ่มงานก่อสร้าง และแล้วเสร็จภายใน 5 ปีนับจากนี้

โครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ปัจจุบันลงนามร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนมาราว 6 ปี นับจากวันที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ที่มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ถือหุ้นใหญ่ ลงนามสัญญาร่วมลงทุนเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2562

แต่ปัจจุบันโครงการนี้ยังไม่สามารถเริ่มตอกเสาเข็มก่อสร้างงานโยธาได้ สืบเนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 และเป็นผลให้เอกชนขอรับการเยียวยาผลกระทบ และเริ่มกระบวนการเจรจาเพื่อปรับแก้สัญญาร่วมลงทุน โดยจากการเจรจาในช่วงที่ผ่านมามีข้อสรุปของการแก้ไขสัญญา 5 ประเด็น ประกอบด้วย

1.วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิมเมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูง รัฐแบ่งจ่าย 149,650 ล้านบาท ปรับเป็นลักษณะสร้างไปจ่ายไป โดยรัฐจ่ายเงินสนับสนุนเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานที่ รฟท.ตรวจรับ และกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของรัฐทันทีตามงวดการจ่ายเงิน

2.กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิ 10,671 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่ากัน โดยต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา

3.กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการลดอย่างมีนัยสําคัญ

4.การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) โดยกำหนดให้ รฟท.สามารถออกหนังสือ NTP ได้โดยไม่ต้องรอเอกชนรับบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้ รฟท.ออก NTP ได้ทันทีเมื่อลงนามสัญญาที่แก้ไขตามหลักการทั้งหมด

5. ปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการอื่น

โดยความคืบหน้าล่าสุด คณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการนี้ ซึ่งจะดำเนินการปรับแก้รายละเอียดสัญญาตามหลักการของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาตตะวันออก (กพอ.) ที่มีมติให้แก้ไข 5 ประเด็นหลักข้างต้น และความคืบหน้าครั้งนี้ จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติมหากาพย์ “ไฮสปีดสามสนามบิน” ที่มีวี่แววว่าใกล้จะลงนามสัญญาใหม่ และถึงเวลาตอกเสาเข็มก่อสร้าง

“อนันต์ โพธิ์นิ่มแดง” รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า สาระสำคัญของการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนครั้งนี้มี 2 ประเด็นหลัก คือ

  • วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน ซึ่งบอร์ด รฟท.กำชับว่ารัฐต้องไม่เสียประโยชน์ โดย รฟท.ยืนยันว่าวิธีการนี้ไม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เนื่องจากการปรับมาเป็นวิธีการสร้างไปจ่ายไป โดยหลังชำระค่าก่อสร้างแล้ว รัฐจะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในงานโยธา
  • ข้อกำหนดให้เอกชนคู่สัญญา คือ บริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ต้องวางเงินหลักประกัน หรือ แบงก์การันตีเพิ่มเติมจากกรอบสัญญาเดิมรวมประมาณ 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างเสร็จภายใน 5 ปี

อย่างไรก็ดี หลักประกันที่เอกชนต้องนำมาวางในโครงการนี้ จึงจะแบ่งออกเป็น

หลักประกันตามสัญญาเดิม 2 ส่วน คือ

  • หลักประกันสัญญา วงเงิน 4,500 ล้านบาท ตลอดสัญญา 50 ปี
  • หนังสือค้ำประกันผู้ถือหุ้น วงเงิน 149,650 ล้านบาท ตลอดสัญญา 50 ปี

ส่วนหลักประกันเพิ่มเติมที่เอกชนต้องนำมาวางการันตีในการดำเนินโครงการนี้ รวมวงเงินประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาวางให้กับ รฟท.ภายใน 270 วันหลังลงนามแก้ไขสัญญา ประกอบด้วย

1. หนังสือค้ำประกันค่าก่อสร้างงานโยธา 125,932.54 ล้านบาท

2. หนังสือค้ำประกันงานระบบ 14,813.49 ล้านบาท

3. หนังสือค้ำประกันคุณภาพเดินรถ 748.25 ล้านบาท

4. หนังสือค้ำประกันค่าสิทธิบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) 10,671 ล้านบาท โดยวันลงนามสัญญาใหม่ เอกชนจะต้องชำระค่าสิทธิบริหาร ARL งวดแรกทันทีประมาณ 1,500 ล้านบาท และส่วนที่เหลือกำหนดทยอยชำระรวม 7 งวด

“หลักประกันก้อนใหม่ เอกชนยังไม่ต้องวางหลักประกันทันทีที่ลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุน โดยใช้เวลาหาหลักประกันได้ และนำมาวางให้ รฟท.ภายใน 270 วันนับจากลงนามสัญญา หรือเมื่อต้องการเบิกรับเงินสนับสนุนต้องวางหลักประกันทันที โดยการสร้างไปจ่ายไปจะทยอยจ่าย 5 งวด งวดละประมาณ 25,000 ล้านบาท โดยเมื่อเอกชนสร้างงานโยธาเสร็จ มาส่งงานก็จะสามารถคืนแบงก์การันตีเท่าจำนวนงวดงานกลับไปด้วย”

ทั้งนี้ ภายหลังผ่านการเห็นชอบจากบอร์ด รฟท.แล้ว ร่างสัญญาฉบับใหม่จะถูกส่งไปยังคณะกรรมการกำกับโครงการฯ ก่อนเสนอไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) และคณะรัฐมนตรี โดยคาดว่ากระบวนการเหล่านี้จะแล้วเสร็จ พร้อมลงนามสัญญาภายในเดือน มิ.ย.2568 หลังจากนั้น รฟท.พร้อมออกหนังสือ NTP เพื่อให้เอกชนเริ่มงานก่อสร้าง และแล้วเสร็จภายใน 5 ปีนับจากนี้