“OECD”เตือนเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอ่อนแรงเฝ้าระวังศึกการค้า

ปี 2568 น่าจะห่วงเวลาแห่งความท้าทายในหลายๆด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจและการค้า โดย องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)
KEY
POINTS
หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้น1.0% ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอาหารสุนัขและแมว ตามความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงแบบสดที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ตามความต้องการของตลาดโลกที่มีอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง กลับมาหดตัว 5.1% โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป ตามความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและอุปสงค์น้ำมันชะลอตัว
หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลง 2.3% ได้แก่ ข้าว ตามอุปทานข้าวโลกที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการข้าวไทยในตลาดโลกชะลอลงและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ตามความต้องการที่ลดลง เนื่องจากเผชิญกับคุณภาพของผลผลิตที่ลดลง รวมถึงการแข่งขันจากคู่แข่ง ซึ่งเสนอราคาที่ถูกกว่าไทย
ดัชนีราคานำเข้า เดือนก.พ.2568 เท่ากับ 114.7 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.0% (YoY) ตามความต้องการนำเข้าสินค้าเพื่อใช้ในการผลิต การลงทุน และการบริโภคของประเทศ ตามความต้องการที่ชะลอลง เนื่องจากสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือนสูง รวมถึงประชาชนมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จากเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัวช้า
“สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าเดือนมี.ค.2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน แม้จะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน”
จากปัจจัยสนับสนุนจาก 1. ฐานราคาปี 2567 ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2568 ปัจจัย 2. สินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตรบางประเภท ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 3. สินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังขยายตัวได้ดี 4. ราคาพลังงานและวัตถุดิบ ยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น และ5. การเร่งนำเข้าสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐส่งผลให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ 1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าอาจช้ากว่าที่คาด2. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3. ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐ 4. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงน้อยกว่าปี 2567 อาจส่งผลให้ผลผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น จนนำมาสู่ภาวะอุปทานส่วนเกิน 5. การแข่งขันทางด้านราคามีแนวโน้มสูงขึ้น และ6. ความผันผวนของค่าเงินบาท

เผยแพร่รายงาน OECD Economic Outlook, Interim Report March 2025 ระบุว่า การเติบโตของผลผลิตทั่วโลกยังคงแข็งแกร่งในปี 2567 โดยมีการขยายตัวที่แข็งแกร่งในสหรัฐและเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึงจีน
"อย่างไรก็ตาม พบสัญญาณแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแรง ความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภคที่เบาบางและ"ตัวบ่งชี้ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั่วโลก"
คาดว่าการเติบโตของจีดีพีทั่วโลกจะชะลอตัวลงจาก 3.2% ในปี 2567 เป็น 3.1% ในปี 2568 และ 3.0% ในปี 2569 โดยมีอุปสรรคการค้าที่สูงขึ้นในเศรษฐกิจ G20 หลายแห่ง และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายที่จะเป็นอุปสรรคทางการค้าที่มีผลต่อการลงทุนและการใช้จ่ายของครัวเรือน
คาดว่าการเติบโตของจีดีพีประจำปีของสหรัฐ จะชะลอตัวลงจากอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ 2.2% ในปี 2568 และ 1.6% ในปี 2569ส่วนฝั่งยุโรปอยู่ที่ 1.0% ในปี 2568 และ 1.2% ในปี 2569 ขณะที่จีนจะชะลอตัวลงจาก 4.8% ในปีนี้เหลือ 4.4% ในปี 2569
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนก.พ. 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ตามความต้องการสินค้าส่งออกในหลายกลุ่มสินค้าที่ยังขยายตัวดี รวมถึงการนำเข้าสินค้าขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การกีดกันทางการค้า และความผันผวนของค่าเงินบาท อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า
โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ดัชนีราคาส่งออก เดือนก.พ. 2568 เท่ากับ 110.9 ขยายตัวชะลอลง0.8% (YoY) เป็นผลจากราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มที่ปรับลดลงจากอุปทานส่วนเกิน และการแข่งขันทางด้านราคา ประกอบกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น จากการปรับเปลี่ยนนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทางการผลิตของไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งผลให้ราคาส่งออกของไทยขยายตัวได้อย่างจำกัด
อย่างไรก็ตาม หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกยังคงปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้น 1.6% ได้แก่ ทองคำ ตามความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากความกังวลด้านนโยบายทางภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค สำหรับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ตามความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งตลาดยังมีความต้องการสูง







