ประธานหอการค้าไทยคนใหม่ ชูนโยบาย “Unlocking New Growth "

ประธานหอการค้าไทยคนใหม่ ชูนโยบาย “Unlocking New Growth "

ประธานสภาหอการค้าไทยคนที่ 26 ชูนโยบาย “Unlocking New Growth ศักยภาพใหม่แห่งการเติบโต” รับมือความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มั่นใจจีดีพีโต 3%

นายพจน์ อร่ามวัฒนนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การเข้ามารับตำแหน่งประธานหอการค้าไทยในปีนี้ ภายใต้ความท้าทาย ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และภูมิรัฐศาสตร์ ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนและต่อยอดเป็น “Unlocking New Growth ศักยภาพใหม่แห่งการเติบโต” ซึ่งจะเป็นยุทธศาสตร์หลักของหอการค้าไทยในการขับเคลื่อนประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

การ ready for future transform เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงจะยึด 4 แนวทางหลักประกอบด้วย 1.  Build Business Confidence & Strengthen Trade & Investment in Global Supply Chains เสริมความเชื่อมั่นทางธุรกิจ และขับเคลื่อนการค้า การลงทุนของไทย สอดคล้องกับซัพพลายเชนโลก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงของภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า (ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ ต้นทุนดำเนินธุรกิจที่สูง และการแข่งขันที่เข้มข้นในห่วงโซ่อุปสงค์และอุปทานโลก)

โดยปัจจุบันความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ส่งผลโดยตรงต่อการค้า การลงทุน และอุตสาหกรรมของไทย เราจำเป็นต้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการรับมือ โดยที่ผ่านมาหอการค้าไทยจะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ผ่านแนวคิด “Team Thailand+” เพื่อสร้างความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพในการเผชิญกับความท้าทายระดับโลก

 

นอกจากนี้ได้ตั้งกลไกความร่วมมือไทย-จีน และความร่วมมือกับประเทศอื่น เช่น ไทย – US, ไทย – EU, ไทย – ญี่ปุ่น เป็นต้น และ Special Team กับภาครัฐ เพื่อจับตาการค้าโลก และ แสวงหาโอกาสให้ประเทศไทย รวมถึงผลักดัน FTA และความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศคู่ค้า เพื่อขยายโอกาสทางการค้าให้กับภาคธุรกิจไทย

“กรณีผลกระทบจากTrump2.0 จะต้องรอความชัดเจนหลังวันที่ 2 เม.ย.แต่ คงจะมีผลด้านบวกต่อไทยด้วยเช่นการย้ายฐานการผลิตของประทศอื่นมาไทยและการเร่งการเจรจาFTA อาจจะทำได้เร็วขึ้น เช่น กับ อียู , แคนาดา และ UAEซึ่งหากสรุปได้สิ้นปีนี้ จะเป็นแต้มต่อให้ไทยและคาดว่าจะช่วยเพิ่มจีดีพีได้ 1% ในอนาคต” นายพจน์ กล่าว

นอกจากนี้การสร้างแนวทางรับมือความเสี่ยงที่เกิดจากนโยบายกีดกันทางการค้า และการเปลี่ยนแปลงของห่วง โซ่อุปทานโลก ยกตัวอย่างเช่น ศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร หรือ ศูนย์ AFC (Agriculture and Food Coordination and Public Relations Center) ที่เราได้นำร่องแล้ว เพื่อให้เกิดการสื่อสารและแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาตกต่ำอย่างทันท่วงที

การสนับสนุนการลงทุนของไทยในต่างประเทศ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านนโยบายที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ รวมทั้งเพิ่มการส่งเสริมให้ธุรกิจเดิมที่เคยได้รับการส่งเสริมแล้วให้ได้รับการสนับสนุนต่อ หากมีการปรับปรุงหรือลงทุนเพิ่ม โดยทำงานร่วมกับภาครัฐ เช่น BOI เป็นต้น

แนวทางที่ 2. Business Transformation: Innovation, Digital, AI, Robot, IoT & ESG Integration เร่งการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจ และเศรษฐกิจยั่งยืน โดยเฉพาะภาคธุรกิจไทยที่ยังขาดความพร้อมในการปรับใช้เทคโนโลยีและแนวทาง ESG เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจในอนาคต หอการค้าฯ จึงมุ่งผลักดัน Digital Transformationในทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ AI, Robot,, IoT และ Automation

หอการค้าฯ ได้กำหนด 5 เสาหลัก ในการดำเนินงาน จากเดิมที่มี 3 เสาหลัก เพิ่มเติมอีก 2 เสาหลัก ได้แก่ การค้าและการลงทุนสนับสนุนให้ธุรกิจไทยขยายตลาดและการลงทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก

“ทั้งนี้เสาเกษตรและอาหาร  มีความสำคัญมากเพราะ มากกว่า90% เป็นธุรกิจคนไทยทั้งหมดในการผลักดัน  (Smart Farming), Future Food, Halal และการใช้เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร และพร้อมที่จะเป็น Foods hub ของโลกขณะนี้มูลค่าส่งออกอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น สัดส่วน 20% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ในอีก5 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าว่ารายได้ส่งออกจะเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 25% ของมูลค่าส่งออกรวมทั้งหมด”

ทั้งนี้จะยกระดับธุรกิจท่องเที่ยวด้วย การท่องเที่ยวคุณภาพสูง เน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณซึ่งส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสนับสนุน Startup & Deep Tech และการผลักดันและ การทำSustainability – ผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยก้าวสู่ Net Zero Economy ด้วยการนำหลัก ESG มาใช้เป็นมาตรฐาน

แนวทางที่  3 คือ Talent Development ยกระดับศักยภาพคนไทยและสร้างเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีต้องการแรงงานที่มีทักษะแห่งอนาคต ซึ่งสิ่งสำคัญคือการ Reskill & Upskill คนไทย ให้พร้อมสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลและอุตสาหกรรมใหม่

และแนวทางที่4 คือ Empowering SMEs & Strengthening Public-Private Partnerships: ส่งเสริมสมาชิกเครือข่ายหอการค้าฯ, SMEs ให้เข้มแข็ง และเสริมสร้างความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน โดยเฉพาะเครือข่ายนานาชาติ

ทั้งหมดนี้เป็น 4 แผนหลัก เพื่อเราจะ Ready for Future Transformation

“ในปีนี้จะมุ่งเน้น “Unlocking New Growth” โดยใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้า แข่งขันได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้การดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยการทำงานของเราจะไม่ใช่แค่การเผชิญหน้ากับปัญหาในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการวางรากฐานเพื่ออนาคตที่มั่นคงของเศรษฐกิจไทย ประเทศไทยต้อง “พร้อมสำหรับอนาคต”  ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจภายในปีนี้ยังคงเติบโต 3% ” นายพจน์กล่าว