‘บิ๊กคอร์ป’ ชูเอไอทางรอดธุรกิจ พัฒนาคนตอบโจทย์เทคโนโลยี

“เอกชน” ยัน AI ทางรอดภาคธุรกิจ WHA ชี้ สร้างโอกาส สร้างการแข่งขันธุรกิจ ทอท.ยกระดับสนามบินเพิ่มประสิทธิภาพเช็กอิน AIS ดันขุมพลังพลิกโฉมโครงข่าย “ลอรีอัล”ชู AI พลิกอนาคต
KEY
POINTS
- ดับบลิวเอชเอ เริ่มศึกษา AI อย่างจริงจังในปี 2024 เพื่อนำมาปรับใช้ใน 12 โครงการ โดยปีนี้จะยังเดินหน้าใช้ AI ต่อเนื่อง โดยจะนำมาใช้ผ่าน 40 โครงการ 50 แอปพลิเคชัน เป็นต้น
- เราไม่ได้เริ่มต้นจากเอา AI มาใช้ แต่จะเป็นการกำหนดโจทย์ให้ขัดเจนว่าจะเอามาช่วยด้านไหน และสิ่งที่เราให้ความสำคัญในเรื่องของข้อมูลเพื่อเริ่มจากโครงการเล็กๆ ก่อน และขยายสเกลให้ใหญ่ขึ้น
- AOT นำ AI มาใช้ในการบริการผู้โดยสารในสนามบิน และการเตรียมความพร้อมของบุคลากรเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ ส่วนการบริการต้องทำให้ผู้โดยสารมีเวลาอยู่ในสนามบินมากขึ้นและความสุข
- AI กำลังมีบทบาทสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจทั่วโลก AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริม แต่กลายเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนองค์กร
“กรุงเทพธุรกิจ” จัดงานสัมมนา AI Revolution 2025: A New Paradigm of New World Economy เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2568 โดยมีภาคเอกชนมาร่วมนำเสนอทิศทางการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการขับเคลื่อนธุรกิจ
นายนันท์ศิลป์ เจนวารินทร์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “AI Empowering : Business Opportunities” ว่า ปัจจุบัน AI มีบทบาทมากขึ้น โดย AI ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นโอกาสสร้างการแข่งขันธุรกิจ และถ้าไม่เริ่มวันนี้อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอ เริ่มศึกษา AI อย่างจริงจังในปี 2024 เพื่อนำมาปรับใช้ใน 12 โครงการ โดยปีนี้จะยังเดินหน้าใช้ AI ต่อเนื่อง โดยจะนำมาใช้ผ่าน 40 โครงการ 50 แอปพลิเคชัน เป็นต้น
กลุ่มบริษัท ถือเป็นองค์กรขนาดใหญ่มีข้อมูลในอีโคซิสเต็มเยอะ การ Digital Transformation จาก 4 ปี ที่กลุ่มบริษัท ได้วางรากฐานดิจิทัลส่งผลให้สิ่งที่ทำมา โดยในช่วง 2 ปีแรกเป็นการวางโครงสร้างข้อมูล
จนนำมาสู่การใช้ AI ในปีที่ผ่านมา เพื่อบริหารข้อมูลมหาศาล ดังนั้น ปีนี้ต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจ ถือเป็น AI วิชั่น กลุ่มบริษัท พร้อมนำความรู้ความสามารถที่อยู่ในบุคลากรมาใช้สร้างความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นโดยมีโครงการทรานฟอร์เมชั่นมาช่วย
“เมื่อเรามีดาต้า และ AI ที่ดีแล้ว ก็จะต้องมีคนที่พร้อมเพื่อเอามาร่วมกัน ดังนั้น เราไม่ได้เริ่มต้นจากเอา AI มาใช้ แต่จะเป็นการกำหนดโจทย์ให้ชัดเจนว่าจะเอามาช่วยด้านไหน และสิ่งที่เราให้ความสำคัญในเรื่องของข้อมูลเพื่อเริ่มจากโครงการเล็กๆ ก่อน และขยายสเกลให้ใหญ่ขึ้น”
ดังนั้น Digital Transformation จะต้องทำให้คนมี AI ใช้งานได้ดี และที่ง่ายที่สุดเพื่อให้บุคลากรให้ใช้งาน คือ ChatGPT ในลักษณะของการป้อนคำถามว่ามีปัญหาอะไรในระบบ และนำเอา AI มาใช้กับแมชชีนเลิร์นนิงเพื่อฝังการใช้งานต่อไป
ทอท.ย้ำ AI เพิ่มความสุขผู้โดยสาร
นายวรวุฒิ แสนทวีสุข ฝ่ายพัฒนาดิจิทัลโซลูชั่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT กล่าวว่า AOT นำ AI หรือเทคโนโลยีมาใช้ในการบริการผู้โดยสารในสนามบิน และการเตรียมความพร้อมของบุคลากรเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ โดยในส่วนของการบริการ AOT นั้นโดยต้องทำให้ผู้โดยสารมีเวลาอยู่ในสนามบินมากขึ้น และความสุขกับการอยู่ที่สนามบิน
ดังนั้น AOT จึงนำเทคโนโลยีมาช่วยลดขั้นตอนการเช็กอินของผู้โดยสาร ซึ่งเดิมมีขั้นตอนมาก และใช้เวลานานในส่วนนี้ ซึ่งแต่จะจุดก็มีขั้นตอนการดำเนินงานของแต่ละโซนแต่ละจุด ดังนั้นจะทำอย่างไรให้แต่ละโซนสามารถเชื่อมโยงกันได้ และใช้เวลาน้อยที่สุด
“จุดสำคัญคือ การนำ AI มาช่วยลดขั้นตอนการเช็กอิน เพื่อให้ผู้โดยสารมีเวลามากขึ้น และมีความสุขกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในสนามบินก่อนเดินทาง” นายวรวุฒิ กล่าว
นายวรวุฒิ กล่าวว่า AI มีความเก่ง ความเร็ว การวิเคราะห์ข้อมูล เราก็ดึงในส่วนนี้เข้ามาใช้ โดยการใช้เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ ระบบยืนยันตัวตนอัตโนมัติ (Biometric) โดยระบบนี้สามารถลดระยะเวลาการตรวจแแเทียบกับใบหน้าได้เร็วมาก และระบบตรวจคนเข้าเมือง เช่น เมื่อเราเข้ามาสนามบินแล้ว ต้องเข้ามาเช็กอินในจุดของผู้โดยสาร เราจึงใช้ AI ในการเก็บข้อมูลของผู้โดยสารเพื่อนำไปใช้ได้กับจุดอื่นๆ ได้ด้วยโดยไม่ต้องทำขั้นตอนซ้ำๆ แบบเดิม
รวมทั้งการสแกนหน้า สแกนพาสปอร์ต เที่ยวบินอะไร การเช็กตัวตนในจุดของการตรวจคนเข้าเมืองหรือ ตม. เราใช้การสแกนหน้าเพื่อแสดงตัวตน การสแกนพาสปอร์ตเพื่อตรวจสอบว่า เป็นของจริงหรือเป็นของปลอม รวมถึงมีข้อมูลการถูกแบล็กลิสต์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ขณะที่ระบบขาเข้าเมืองก็เช่นกันก็ใช้การสแกนพาสปอร์ตเพื่อการยืนยันตัวตน
‘เอไอเอส’ ดันขุมพลัง AI พลิกโฉมโครงข่าย
นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการ และสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า AI กำลังมีบทบาทสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจทั่วโลก AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริม แต่กลายเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนองค์กร
เอไอเอสนำเอา AI และ Autonomous Network เข้าเสริมศักยภาพโครงข่ายสื่อสาร เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co อย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้ บริษัทต่างๆ จะต้องตัดสินใจว่าตนเองจะมีบทบาทในฐานะผู้ใช้ AI อย่างไรสามารถแบ่งได้ 3 แบบ คือ 1.ผู้รับเอา AI ไปใช้งาน (AI Taker) 2.ผู้ที่แก้ไขเปลี่ยนแปลง และปรับปรุง AI (AI Reshaper) 3.ผู้พัฒนาและผู้สร้าง AI (AI Maker)
นอกจากนี้ รูปแบบการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาในองค์กร ซึ่งส่วนใหญ่มักเริ่มจากโครงการเล็กๆ ก่อนขยายสู่โครงการใหญ่ เพื่อทดสอบ และสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด พร้อมเน้นย้ำว่า องค์กรควรมองภาพใหญ่ และใช้ AI เป็นกลไกหลักในการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง และการทำงานภายในองค์กร เพื่อเพิ่มศักยภาพ และความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
สำหรับองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการใช้งาน AI เช่น เอไอเอสได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรไปเป็น ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่นก่อนช่วงโควิด โดยเน้นใช้เทคโนโลยี AI อย่างจริงจัง เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการทำงานอัตโนมัติ ลดใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น
“ลอรีอัล” ชูเอไอพลิกโลกอนาคต
นายบุณสิทธิ์ สยามเนตร Head of Data & Analytics ลอรีอัล ประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ “AI Empowering: Business Opportunities” ว่า AI และ Generative AI (Gen AI) จะมีบทบาทพลิกโฉมแห่งอนาคต แต่สิ่งสำคัญไม่ต่างกันในการนำมาใช้คือ การตั้งอยู่บนความรับผิดชอบ
ทั้งนี้ ลอรีอัล ในฐานะผู้นำธุรกิจความงามด้วยเทคโนโลยี หรือ บิวตี้ เทค คัมปะนี ให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวอย่างมาก ต้องทำความเข้าใจความเสี่ยงจากการใช้เอไอ และความรับผิดชอบในการนำมาใช้เคลื่อนธุรกิจมีอะไรบ้าง
หนึ่งในตัวอย่างของการนำ Gen AI มาใช้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ความงามของลอรีอัล มีส่วนช่วยผู้บริโภคทั้งเรื่องเส้นผม ผิวพรรณ และใบหน้า แต่การนำ Gen AI มาใช้ จะไม่มีการเจนเส้นผม ผิวพรรณ ใบหน้าโดยเด็ดขาดประเด็นดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกินจริงหรือไม่เกินจริง แต่เป็นการให้ลูกค้า ผู้บริโภคได้ใช้ผลิตภัณฑ์แล้วได้ผลลัพธ์ที่แท้จริงเท่านั้น
“เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของทุกองค์กรที่ต้องคิดถึงเรื่องนี้ไม่ใช่แค่นำเอไอมาใช้อย่างเดียวแต่ต้องคิดถึงตั้งแต่ต้นจนจบสิ่งที่จะทำต่อคือ Beauty for Each ด้วยพลังของเทคโนโลยีตอบโจทย์เฉพาะคน เพราะที่ลอรีอัลจะ Create the Beauty the moves the World”
ลอรีอัล เป็นบริษัทด้านความงามระดับโลกอายุ 116 ปี สร้างรายได้ 43.48 พันล้านยูโร มีสินค้ากว่า 150 ประเทศทั่วโลกมีการนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้เติมเต็ม 2 ด้านสำคัญ ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาสินค้าที่ผนึกพันธมิตรไอบีเอ็ม ในการหาวัตถุดิบส่วนผสมมาใช้กับลูกค้า และตอบโจทย์ความยั่งยืนของโลกใช้เอไอวิเคราะห์ผิวให้ลูกค้า เพื่อแนะนำสินค้าให้เหมาะกับสภาพผิวคาดการณ์ผิวลักษณะต่างๆ ใน 5-10 ปีข้างหน้าเพื่อหาทางปกป้องผิว
นอกจากนี้ ยังใช้เอไอวางแผนสื่อสารการตลาด และโฆษณาให้เหมาะสม ในฐานะที่ลอรีอัลเป็นผู้ใช้งบโฆษณาสูงอันดับ 4 ของโลก
“บริษัทนำเอไอมาออพติไมซ์การใช้จ่ายงบโฆษณา ผ่านโปรแกรมภายในทำ augmented กิจกรรมง่ายๆ งานครีเอทีฟสื่อสารการตลาดตัวอย่างลอรีอัลมีแบรนด์ และข้อความที่จะสื่อสารข้ามโลกในตลาดกว่าร้อยประเทศ จึงต้องสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าแต่ละประเทศ”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







