จุดอ่อนที่สำคัญและเรื้อรังของ "เศรษฐกิจไทย"

ตลอดระยะเวลาประมาณครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา (2516-2566) ประเทศไทยมักจะมุ่งมั่นให้ความสำคัญแก่การขยายตัว (growth) ของระบบเศรษฐกิจส่วนรวมมากกว่าการพัฒนา (development) แก่น
แม้ว่า growth จะเป็นเรื่องระยะสั้นที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ในขณะที่ development เป็นเรื่องยาวที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถสร้างความหนักแน่นและเพิ่มศักยภาพให้แก่การเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
ดังนั้น เราจึงควรพิจารณาให้ความสำคัญแก่ทุกมิติ หรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านแรงงาน หรือทรัพยากรมนุษย์ (labor)
เพราะมนุษย์เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการผลิต จึงควรได้รับผลตอบแทนที่ดี (กินดีอยู่ดี) จากขบวนการผลิต เมื่อเราเห็นความสำคัญเช่นนี้แล้ว เราก็ควรเพ่งเล็งถึงระดับรายได้ประชากรต่อคน (per capita income, PCI) มากกว่า อัตราการขยายตัวของ GDP เพราะเหตุผลอื่น ๆ อีกหลายประการ
ตัวอย่างเช่น PCI สะท้อนให้เห็นถึงทั้งกำลังซื้อและประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากร ทั้งสองปัจจัยนี้ส่งอิทธิพลเป็นอันมากแก่ศักยภาพของ growth
เพราะ PCI ที่สูงย่อมกระตุ้นทั้งการบริโภค และจูงใจการลงทุน ซึ่งช่วยนำไปสู่ growth ที่สูงขึ้น ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของระดับ PCI จึงควรเป็นเป้าหมายรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว
ในที่นี้ เราจะศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบระดับของ PCI ในอดีตของประเทศสมาชิกในกลุ่ม ASEAN พบว่า สิงคโปร์ได้พัฒนาประสิทธิภาพของแรงงานได้ดีที่สุด ทั้งในแง่ความเร็วและความสม่ำเสมอ
เพราะแม้ว่า PCI ของมาเลเซียและไทยจะเพิ่มขึ้นในอัตรา 47% ต่อปี ในปี 2543-2552 และ 96% ต่อปี ในปี 2553-2562 ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราเพิ่มของสิงคโปร์ (47% และ 91% ตามลำดับ)
แต่ระดับของ PCI นั้น ยังต่างกันเป็นอันมาก คือ PCI ของสิงคโปร์ยังอยู่ในระดับ 5 เท่าตัวของมาเลเซีย และ 9 เท่าตัวของไทยตลอดสามทศวรรษที่กล่าวข้างต้น
นอกจากนั้น ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา วิกฤติโควิด-19 ก็มิได้ทำให้สิงคโปร์หยุดยั้งในการเพิ่ม PCI จาก 61,491 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ในปี 2563 มาเป็น 84,714 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ในปี 2566
แต่ PCI ของไทยแทบจะไม่เคลื่อนไหวเท่าใดเลย คือ อยู่ในระดับ 7,561 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี และ 7,801 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ตามลำดับปีที่กล่าวข้างต้น ความเชื่องช้าของไทยในแง่นี้ก็เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งการลงทุนและการบริโภคของไทยได้เฉื่อยชาลงเป็นอันมาก และอัตราการใช้กำลังการผลิตในปี 2567 ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี (2557-2567) คือ 58.44%
ในขณะที่อัตราเพิ่มของ GDP โดยเฉลี่ย 4 ปี ที่ผ่านมา (2564-2567) ของไทย (2.2%) อยู่ในระดับต่ำที่สุดในหมู่ประเทศเพื่อนบ้าน อันได้แก่ ฟิลิปปินส์ (6.1%), เวียดนาม (5.8%), มาเลเซีย (5.2%), สิงคโปร์ (5.0%), และ อินโดนีเซีย (4.7%)
จากการสำรวจของหลายหน่วยงานและธุรกิจประเภทต่างๆ สาเหตุพื้นฐานที่เศรษฐกิจไทยตกต่ำตามที่กล่าวข้างต้น สืบเนื่องมาจากความด้อยของประสิทธิภาพแรงงาน ทักษะ และกำลังซื้อ
ตามที่เห็นได้ชัดจากความไม่เคลื่อนไหวของ PCI หากวิเคราะห์เจาะลึกลงไปในจุดอ่อนนี้ จะสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าต้นตอของจุดอ่อนนี้อยู่ที่การศึกษา
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ศึกษารายละเอียดและมีข้อเสนอแนะที่ครบถ้วนดังต่อไปนี้ ปัญหาของระบบการศึกษาไทยเกิดจากการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ คือใช้มากแต่ผลสัมฤทธิ์ต่ำ
ใจกลางของปัญหาคือ การขาดความรับผิดชอบ (accountability) ตลอดทุกขั้นตอน นอกจากนั้นระบบการศึกษาของไทยยังมีความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการศึกษาในระดับสูง และระบบการเรียนการสอนไม่เหมาะกับบริบทของศตวรรษที่ 21
ดังนั้น หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาจึงอยู่ที่
(1) การสร้างความรับผิดชอบเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยให้โรงเรียนมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อผู้ปกครองและนักเรียนมากขึ้น
(2) โรงเรียนควรมีอิสระในการบริหารจัดการและพ่อแม่สามารถเป็นผู้เลือกโรงเรียนให้ลูกตามข้อมูลคุณภาพของโรงเรียน ที่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ
(3) ปรับหลักสูตร สื่อการสอน และพัฒนาครูให้เหมาะกับบริบทของศตวรรษที่ 21
(4) ลดความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการศึกษา โดยปรับการจัดสรรงบประมาณให้แก่พื้นที่ที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมเพิ่ม มากขึ้น และสร้างระบบการให้ความช่วยเหลือแก่โรงเรียน ครูและนักเรียนที่ประสบความยากลำบากหรือขาดแคลน
อีกสองปัญหาที่เกี่ยวโยงกับการศึกษาโดยตรงคือ
(1) นักเรียนไม่รู้เป้าหมายของตนเองว่าอยากเรียนอะไร และ/หรือ อยากทำงานด้านใด
(2) ทางฝ่ายธุรกิจหรือผู้จ้างงานก็บ่นว่าบัณฑิตที่เขารับเข้ามาทำงานนั้น มักขาดทักษะ คิดไม่เป็น และ ไม่สามารถวิเคราะห์โลกแห่งความจริงได้ถูกต้องและคุ้มค่ากับการจ้างงาน
รัฐน่าจะสามารถแก้ไขทั้งสองปัญหานี้ได้อย่าง ไม่ยากเย็น โดยปรับหลักสูตรตั้งแต่มัธยมปลายขึ้นไปถึงระดับปริญญาตรี ให้มีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นใน 3 แง่ ต่อไปนี้
(1) สนับสนุนให้โรงเรียนหรือวิทยาลัยเสนอโครงการ “ทางเลือกอิสระในหลายสาขาวิชา”
โดยในช่วงแรกของโครงการนี้ (2 ปีแรก) นักศึกษาสามารถเลือกเรียนบางวิชาเบื้องต้นได้ในหลากหลายสาขา เพื่อที่จะได้ทราบแน่ชัดว่าตนชอบสาขาไหน มีความสามารถทางด้านใด และอยากจะไปประกอบอาชีพอะไรในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ควบคู่ไปกับวิชาที่เลือกเหล่านั้นนักศึกษาจำเป็นต้องเข้าเรียนในวิชาบังคับระดับพื้นฐานไปด้วย เช่น STEMS หรือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะศาสตร์
เพราะวิชาเหล่านี้จะช่วยสร้างความรู้ขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในการประกอบอาชีพโดยทั่วไป แต่ในช่วงหลังของโครงการ (2 ปีหลัง) นักศึกษาจะเพ่งเล็งศึกษาลึกลงไปในระดับสูงของเฉพาะสาขาที่ตนชอบหรืออยากเชี่ยวชาญเท่านั้น
การวางหลักสูตรปริญญาตรีเช่นนี้เป็นที่แพร่หลายในสหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาตรีตามที่เสนอโดย liberal arts colleges
(2) ระหว่างการสอนทั้งในช่วงแรกและช่วงหลัง วิทยาลัยควรแนะนำให้อาจารย์เน้นถึงวิธี การคิดให้เป็นจนสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ที่แท้จริงได้
ทั้งนี้ อาจารย์อาจนำกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงในอดีต (case studies) มายกเป็นตัวอย่างประกอบในการสอนได้
(3) ก่อนที่นักศึกษาจะจบปริญญาตรีหรืออาชีวศึกษา วิทยาลัยควรบังคับให้นักศึกษาออกไปฝึกงานเป็นผู้ช่วยในสำนักงานอาชีพต่าง ๆ เช่น ทนายความ โรงพยาบาล บริษัทค้าขาย ฯลฯ
จุดประสงค์ของการฝึกงานนี้คือ เพิ่มทักษะ ความช่างคิด ช่างสังเกต และเทคนิคในการปรับตัวเพื่อมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ให้แก่นักศึกษาก่อนที่จะจบปริญญา และออกไปหางานทำในอนาคต
ประเด็นสุดท้ายที่ควรอยู่ในการปฏิรูปการศึกษาของไทยด้วยคือ การบังคับให้นักเรียนศึกษาวิชาการใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ๆ เช่น Artificial Intelligence (AI) ในรูปแบบต่าง ๆ ให้นานและคุ้นเคยพอที่จะต่อสู้กับโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเต็มไปด้วยพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเสมอ
อนึ่ง แทบทุกฝ่ายคงเห็นด้วยในหลักการธรรมชาติที่ว่า “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก” ดังนั้น จึงหวังว่ารัฐจะช่วยอุดหนุนให้นักเรียนได้ฝึกตนให้คุ้นเคยกับเทคโนโลยีตั้งแต่วัยเยาว์ เพราะนั่นจะช่วยประหยัดทรัพยากรในการฝึกงานหรือสร้างความเชี่ยวชาญให้แก่แรงงานที่สูงวัย.







