‘พิชัย’ เตรียมพร้อม ปักหมุดไทยจุดหมายลงทุนโลก ดัน GDP โต 3.5%

‘พิชัย’ เตรียมพร้อม ปักหมุดไทยจุดหมายลงทุนโลก ดัน GDP โต 3.5%

“พิชัย” เรียกความเชื่อมั่นลงทุน ตั้งเป้าจีดีพีปีนี้โต 3.5% เตรียมพร้อมประเทศรับการลงทุนใหม่ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ความพร้อมประเทศไทยเพื่อการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก” ภายในงาน Ignite Thailand: Invest in Endless Opportunities จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า ขณะนี้ประเทศไทยทุกภาคส่วนกำลังขาดความเชื่อมั่น ซึ่งการที่รัฐบาลจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้นั้นจะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยเฉพาะการแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสและแนวโน้มเติบโตในอนาคต ซึ่งจะสะท้อนจากตัวเลขการลงทุน การจ้างงาน การผลิต และการส่งออก 

โดยการทำงานของรัฐบาลประมาณ 1 ปีที่ผ่านมานั้น ได้ทุ่มเทช่วง 6 เดือนแรก ในการเดินทางออกไปพบนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อทำความรู้จักและแสดงจุดยืนของประเทศและไล่ลำดับการเยี่ยมเยือนไปยังประเทศที่มีความใกล้ชิด และจำเพาะในอุตสาหกรรมสำคัญที่ต้องการดึงดูดการลงทุนเข้ามาไทย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์สมัยใหม่และซัพพลายเชน ไบโอเทคโนโลยี เทคโนโลยีการเกษตร

“ผมว่าเป็นโชคดีและโอกาสของไทยในช่วงที่มีความกดดันระหว่างภูมิรัฐศาสตร์ขึ้น ซึ่งทำให้ประเทศไทยกลายเป็นทางเลือกของนักลงทุนเพื่อหลีกเลี่ยงจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และไทยต้องแสดงให้เห็นและเกิดความมั่นใจว่าประเทศไทยพร้อมแล้ว”

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยเคยสูงถึง 2 หลัก หรือเติบโตมากกว่า 10% และรักษาระดับ 6% ยาวนาน จากนั้นเริ่มเติบโตลดลงที่ 4% และลงมาตํ่ากว่า 2% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะผลักดันเศรษฐกิจให้กลับมาโตได้ 3.0-3.5 % ตามศักยภาพที่แท้จริง

นายพิชัย กล่าวต่อว่า รัฐบาลจะพยายามรักษาโมเมนตัมการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีที่ผ่านมา จนกระทั่งเงินลงทุนใหม่และการจ้างงานใหม่เกิดขึ้น โดยจะมีการตั้งเป้าการทำงานของทุกภาคส่วนอย่างเข้มงวดเพื่อดันให้จีดีพีปีนี้โตถึง 3.5% ให้ได้

ทั้งนี้ ในปี 2567 ถือเป็นปีที่มีมูลค่าการขอบัตรส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ สูงที่สุดในรอบ 10 ปี ดังนั้นในวันนี้ไทยจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น และสื่อสารกับนักลงทุนเหล่านี้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุน และทำให้พวกเขามั่นใจว่าลงทุนที่ไทยแล้วจะประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ จะต้องมีการกำหนดนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ตอบโจทย์อนาคต อำนวยความสะดวกการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) ให้มีศูนย์บริการแบบเบ็ตเสร็จเป็น One-Stop Service โดยจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขและยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น รวมทั้งการขยายขอบเขตการทำงานของบีโอไอ เพื่อตอบสนองความต้องการนักลงทุน

ดันส่งออกโต 4%

การส่งออกในปี 2568 ตั้งเป้าไว้ค่อนข้างระมัดระวังโดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 4% เนื่องจากในปีนี้มีหลายปัจจัยกดดัน โดยเฉพาะการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และสงครามการค้า ซึ่งต่างจากในปี 2567 ส่งออกขยายตัวถึง 5% เนื่องจากฐานต่ำ 

ทั้งนี้ การเติบโตของการส่งออกในปีนี้ยังอยู่บนเครื่องยนต์เก่า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า การลงทุนขนาดใหญ่ที่กำลังเข้ามานั้น คาดว่าจะเป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศราว 10% และที่เหลือเป็นการส่งออก ซึ่งจะมีผลต่อดีต่อการส่งออกไทยในภาพรวมตั้งแต่ปี 2569-2570 เป็นต้นไป

“การผลักดันภาคส่งออกเพื่อให้ถึงเป้าหมายในปีนี้ จะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหา และอุปสรรค มีการเจรจาและประสานงานกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้นยังอยากเห็นค่าเงินบาทอ่อน อย่างมีเสถียรภาพ”

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังให้ความสำคัญในการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ตามที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 

ดังนั้น จะต้องมีการสำรวจและกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละเซคเตอร์อุตสาหกรรม และบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงในอนาคต โดยอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถทำได้จะต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษี ขณะที่อุตสาหกรรมที่ทำได้จะต้องได้รางวัล